‘เถ้าแก่น้อย’ ยึดหลักอิทธิบาท 4 ทำงานไม่อับจน
ภาพยนตร์ “วัยรุ่นพันล้าน” ที่ออกฉายไม่กี่ปีก่อนหน้านี้สร้างจากเรื่องราวในชีวิตจริงของเจ้าของแบรนด์สาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” คือ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
ภาพยนตร์ “วัยรุ่นพันล้าน” ที่ออกฉายไม่กี่ปีก่อนหน้านี้สร้างจากเรื่องราวในชีวิตจริงของเจ้าของแบรนด์สาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” คือ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ “ต็อบ” วัย 31 ปี ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เตรียมจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) เพื่อนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
“ต็อบ” เล่าให้ฟังว่า เติบโตมาในครอบครัวที่ดี มีธุรกิจส่วนตัวเป็นกิจการรับเหมาก่อสร้าง ถูกเลี้ยงดูแลมาอย่างดีและค่อนข้างตามใจในฐานะลูกคนเล็ก ไม่เคยถูกบังคับให้ต้องทำตามคำสั่งอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ชายที่ถูกบังคับจากครอบครัว
ชีวิตในช่วงวัยเรียนมัธยมศึกษายอมรับว่าเป็นเด็กเกเรไม่ตั้งใจเรียนเพราะเที่ยวเล่น แต่โชคดีที่ในช่วงนั้นอายุ 16-17 ปี มีช่องทางหาเงินใช้เองได้โดยการการขายเกมออนไลน์ไปที่สหรัฐ เพราะช่วงนั้นคนไทยยังไม่เริ่มเล่นเกมออนไลน์ ทำให้มีรายได้หลักหลายแสนบาทต่อเดือน เป็นแหล่งรายได้หลักที่ทำให้มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ ประกอบเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัวประสบวิกฤตในการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง กระแสเงินสดมีปัญหาเพราะถูกโกงทำให้ต้องยุติการทำกิจการรับเหมาฯ ลง
ในช่วงนั้น “ต็อบ” มีอายุเพียง 19 ปี จึงตัดสินใจลาออกมาจากมหาวิทยาลัยเพื่อออกมาทำธุรกิจส่วนตัว แฟรนไชส์เกาลัด ในตอนนั้นมีจำนวน 5 สาขา มีแหล่งเงินลงทุนมาจากการขายเกมออนไลน์ กู้ยืมญาติกับคนใกล้ชิด รวมถึงรายได้หมุนจากธุรกิจเกาลัดเติบโตได้ดี ใช้เวลาประมาณ 1 ปี มีจำนวนสาขาเพิ่มเป็นประมาณ 30 สาขา
ส่วนจุดเริ่มต้นของการเข้ามาในธุรกิจสาหร่ายเกิดจากการทดลองรับสาหร่ายมาขายที่บูธเกาลัด แต่กลับขายดีมากช่วงหลังมียอดขายแซงหน้าเกาลัดทำให้เห็นโอกาสในการทำธุรกิจ จึงตัดสินใจขายธุรกิจเกาลัดเดิมทิ้งเพื่อออกมาทำโรงงานผลิตและขายสาหร่ายแบบเต็มตัว และเริ่มนำเข้าไปขายในร้านค้าเซเว่นอีเลฟเว่น ทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและแบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้น เป็นโอกาสที่จะขยายตลาดในประเทศ จากนั้นใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปี สามารถส่งสาหร่ายออกไปต่างประเทศเริ่มที่สิงคโปร์เป็นแห่งแรก ถัดจากนั้นอีก 3 ปี เริ่มส่งออกไปสหรัฐและยุโรป ปัจจุบันสาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” ส่งออกไปขายประมาณ 30 ประเทศทั่วโลก ในปี 2558 จะมียอดขายประมาณ 3,000 ล้านบาท
“ต็อบ” เล่าให้ฟังถึงการพัฒนาและหาความรู้ให้ตัวเองว่าจะทำหลายแบบ โดยเฉพาะจากการอ่านเพราะชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ได้แก่ แมกกาซีน ฮาวทูเกี่ยวกับการธุรกิจ สารคดีที่ทำทุกวัน และอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงเข้าห้องน้ำ การเดินทางไปต่างประเทศ และพูดคุยกับคน รวมถึงการเข้าไปมีโอกาสเป็นวิทยากรให้ความรู้กับกลุ่มสตาร์ทอัพคนไทย มีโอกาสช่วยสร้างผู้ประกอบการไทยให้เติบโต ถือเป็นการฝึกคมความคิดทบทวนวิธีการทำงานและบริหารแก้ปัญหาในการทำธุรกิจที่ผ่านมาแต่ลืมไปกลับมา และต็อบยังอยู่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง “กองทุน 500 Tuktuks” ด้วย
นอกจากหลักการพัฒนาตัวเองตามที่เล่ามาแล้ว เจ้าของ “เถ้าแก่น้อย” ย้ำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การลงมือทำเปรียบเสมือนใช้ตาดู แต่ไม่ชัดเท่าการใช้มือคลำ หลักการทำงานและการบริหารที่สำคัญยึดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ อิทธิบาท 4 ประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่ใช้มาโดยตลอด เชื่อว่าหากมีครบทุกข้อไม่มีทางอับจนอย่างแน่นอน ส่วนในอนาคตมีความฝันต้องการให้องค์กร “เถ้าแก่น้อย” เป็นองค์กรที่ดำรงอยู่เติบโตแบบยั่งยืน และมีผลกระทบต่อโลกในเชิงบวก เช่นเดียวกับที่แมคโดนัลด์ กูเกิล และแอนดรอยด์
“ต็อบ” กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มียาที่ดีที่สุดคือ ความอดทน พยายาม และมีเป้าหมาย


