posttoday

ฤๅอนาคตจะแซงไทย เอฟดีไอเวียดนามพุ่ง

13 สิงหาคม 2558

อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

โดย...อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ของเวียดนาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งเม็ดเงินเอฟดีไอและจำนวนโครงการที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นระดับ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 จำนวนโครงการเพิ่มจากไม่ถึง 1,000 โครงการ เป็นเกือบ 2,000 โครงการ

ปี 2557 ยังเป็นปีที่มีการเปลี่ยนโฉมหน้าการลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนาม เพราะก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ลงทุนมากเป็นอันดับ 1 ในเวียดนาม แต่ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เงินทุนจากเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่เป็นอันดับ 1 ทำให้เงินลงทุนสะสมของเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2531-2557 อยู่ที่ 3.77 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะปี 2557 เงินลงทุนเกาหลีใต้อยู่ที่ 7,705 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินลงทุนญี่ปุ่นในปี 2557 มีเพียง 1,228 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

นักลงทุนเกาหลีทุ่มเงินลงทุนในเวียดนามค่อนข้างหลากหลายธุรกิจ ทั้งอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเน้นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นหลัก รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ โรงแรมและห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

บรรดานักลงทุนเกาหลีกระจายเม็ดเงินลงทุนไปยัง 10 จังหวัดเศรษฐกิจของเวียดนาม มีสัดส่วนในจังหวัดภาคเหนือกับจังหวัดภาคใต้ร้อยละ 50 ต่อ 50 เวียดนามภาคเหนือลงทุนอันดับ 1 ที่เมืองฮานอย มูลค่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยจังหวัดไทเหงียน 4,727 ล้านเหรียญสหรัฐ จังหวัด Bac Nihn มูลค่า 2,484 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนจังหวัดทางใต้ลงทุนมากที่สุดที่โฮจิมินห์ซิตี้ มีมูลค่าการลงทุน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยจังหวัด Vung Tau และ Long An ตามลำดับ

เหตุผลในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนเกาหลีใต้ คือ 1.จำนวนแรงงานที่มากพอ เวียดนามมีประชากรวัยแรงงาน 53 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่เรียกว่า Gen Y (เกิดช่วงปี 2523-2540) มีอายุอยู่ระหว่าง 20-29 ปี จำนวน 20 ล้านคน เป็นกลุ่มประชากรที่เกิดมาพร้อมกับโลกอินเทอร์เน็ตและไอที ประชากรกลุ่มนี้จึงมีความคิดสร้างสรรค์สามารถทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน

ที่น่าสนใจคือ ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 0-19 ปี มีจำนวนมากถึง  29 ล้านคน และในจำนวนนี้คือพลังกำลังซื้อของคนชั้นกลางของเวียดนามในปัจจุบัน นักลงทุนไทยเองสามารถนำสินค้า เช่น ของใช้เด็ก อาหารเด็กไปขาย รองรับประชากรกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกัน

2.แรงงานของเวียดนามมีประสิทธิภาพในการแข่งขัน อัตาการอ่านออกเขียนได้ (Literary Rate) ของคนเวียดนามอยู่ที่ 94% อยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และจากรายงาน “Economic Insight South East Asia Q1/2015 ของ Institute of Chartered Accountants in England and Wales (ICAEW) ร่วมกับ Cerb โดยวัดจากค่าดัชนีผลผลิตต่อแรงงาน (Output per worker Index) ย้อนหลัง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1991-2012 พบว่าค่าดัชนีของเวียดนามเพิ่มจาก 100 เป็น 300  ทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 184% ขณะที่ไทยเพิ่มขึ้น 85% สิงคโปร์ 81% และมาเลเซีย 80%

นอกจากนี้ สัดส่วนของแรงงานที่มีฝีมือ (ผู้จัดการ ผู้เชี่ยวชาญ ช่างเทคนิคและวิชาชีพ) ต่อแรงงานไม่มีฝีมือของเวียดนาม เพิ่มขึ้นเป็น 76% สูงที่สุดในอาเซียน (วิธีคำนวณคือทำการเปรียบเทียบระหว่างปี 2001 กับข้อมูลล่าสุดของแต่ละประเทศที่มีอยู่)

3.ต้นทุนในการทำธุรกิจยังถูก ค่าจ้างต่อวันอยู่ที่ 186 บาท (คิดจากค่าจ้าง 140 เหรียญสหรัฐ/เดือน ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน) เงินเดือนวิศวกร เดือนละ 300 เหรียญสหรัฐ ต่ำมากเมื่อเทียบกับไทย จีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และแรงงานของเวียดนามก็มีคุณสมบัติที่ขยันและอดทนมาก

เหตุผลข้างต้นคงไม่ใช่เฉพาะนักธุรกิจเกาหลีที่คิดอย่างนี้ นักลงทุนชาติอื่นก็คงคิดอย่างนี้เหมือนกัน เพราะต่างเล็งเห็นว่าในบรรดาประเทศกลุ่มซีแอลเอ็มวีด้วยกันแล้ว เวียดนามคือประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุด

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ในอนาคตเอฟดีไอของเวียดนามจะแซงหน้าประเทศไทยหรือไม่ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เอฟดีไอสะสมของเวียดนามจะแซงหน้าประเทศไทยในอีก 6 ปีข้างหน้า หรือในปี 2563

อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในอนาคต ตามศักยภาพที่ไทยเรามี ผมคิดว่าตำแหน่งของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนคงไม่หนีไปไหนครับ

ข่าวล่าสุด

ถอดพฤติกรรมการเงินคนไทย 4 เจเนอเรชัน จาก Gen Z ถึง Baby Boomer