ไขความลับยาง "มิชลิน" ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามสู่ถนน

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

การพูดถึงประสิทธิภาพและสมรรถนะของยางรถยนต์อาจดูเข้าใจยากสักนิด ดังนั้นเมื่อสิ่งใดที่เข้าใจยากจึงต้องไปสัมผัสให้รู้ด้วยการทดสอบในแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับยาง “มิชลิน” ซึ่งโพสต์ทูเดย์ได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปยังสนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมกิจกรรม “มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็กซ์พีเรียนซ์ 2015” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 10 โดยมีลูกค้าผู้ใช้ยางมิชลิน สื่อมวลชน และผู้ชนะการแข่งขันในกิจกรรม Michelin’s The Right 2 Race รวมกว่า 700 คนจาก 15 ประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

ที่มาที่ไปกว่าจะเป็น “มิชลิน” ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้คงจะต้องย้อนไปเมื่อ 125 ปีก่อนหน้า หรือ ค.ศ. 1891 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท และมีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมในทุกผลิตภัณฑ์ อาทิ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ ยางรถบรรทุก ไปจนถึงยางเครื่องบิน รวมไปถึงยางประสิทธิภาพสูงต่างๆ ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น ยางประหยัดพลังงาน ยางสำหรับสภาพอากาศที่แตกต่าง ยางเรเดียล ยางสมรรถนะสูง แม้กระทั่งยางสำหรับรถที่ใช้เพื่อการแข่งขันจนมาถึงปัจจุบัน

ยางรถยนต์ 1 เส้นนั้นมีโครงสร้างส่วนประกอบที่ผ่านการวิจัยให้เหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศ และเหมาะสมตามความต้องการใช้งานของผู้บริโภค ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ “มิชลิน” สะท้อนให้เห็นคือเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ ลายที่อยู่บนยางรถยนต์ (ลายบั้งปลา) นั้นมีความหมาย เป็นต้นด้วยประสิทธิภาพการรีดน้ำ การเกาะถนน และอื่นๆ อีกมากมาย

ดังนั้น เพื่อเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการพัฒนา “มิชลิน” จึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดและสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาจากสนามแข่งสู่การใช้งานจริง กิจกรรมต่างๆ ถูกจัดขึ้นภายใต้การดูแลจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ รวมถึงนักแข่งที่มีประสบการณ์ด้านการขับขี่และด้านความปลอดภัย เนื่องจากรถที่ถูกนำมาเป็นตัวแทนถ่ายทอดประสิทธิภาพของยางนั้น เป็นต้นด้วยการขับรถแข่งฟอร์มูล่า 4 (Formula 4), การขับรถแรลลี่ซีตรอง (Citroen DS3 R1) และการขับรถทัวริ่งเรโนลต์ (Renault Cilo IV)

งานดังกล่าวนี้ยังมีเซอร์ไพรส์ซึ่งมารู้ในภายหลังว่าเป็นไฮไลต์สำคัญด้วยการนำแชมป์การแข่งขัน เลอ มังส์ 24 ชั่วโมง (Le Mans 24 Hours) คนล่าสุด อย่าง เอิร์ล แบมเบอร์ มาให้คำแนะนำและให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้นั่งในฟอร์มูล่า เลอ มังส์ (Formula Le Mans) อีกด้วย

โทนี เมนาร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ธุรกิจยางรถโดยสารส่วนบุคคลและรถบรรทุกเล็กเพื่อการพาณิชย์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย บริษัท มิชลิน อาร์ โอ เอช กล่าวว่า ทุกปีบริษัทมีการทำวิจัยผู้บริโภคเพื่อให้ได้รับรู้ความต้องการของผู้ใช้งานจริง โดยสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ความปลอดภัย 2.อายุการใช้งาน 3.ความนุ่มเงียบ

นอกจากนั้น พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกในปัจจุบันมีความใส่ใจในการใช้ยางรถยนต์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคมีโอกาสได้ใช้ยางมิชลิน ได้เก็บผลสำรวจพบว่าอัตราการใช้ซ้ำและแนะนำให้คนอื่นใช้มีเพิ่มขึ้น จากความเชื่อมั่นและคุณภาพรวมถึงนวัตกรรม ทำให้ปัจจุบันมิชลินถือได้ว่าเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ในใจของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 สิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญนี้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับวัตถุประสงค์การจัดงานและการสื่อสารผ่านกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตที่ใช้ความเร็ว แรง แต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับสอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อด้วยเหตุผลที่ว่า ทีมแข่งในการแข่งขันรายการต่างๆ ที่ใช้ยางมิชลิน สามารถคว้าชัยชนะได้หลายรายการมากมาย ซึ่งเหตุแห่งชัยชนะมาจากความพร้อมของทีม ความพร้อมของรถ และความพร้อมของนักแข่ง แต่ที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งคือ ยาง

ถามว่าทำไม...? คำตอบคือ ในทุกการแข่งขันจะต้องมีการเข้า Pit Stop เพื่อเติมน้ำมัน, เปลี่ยนยาง, แก้ไขข้อบกพร่อง และยิ่งเมื่อเป็นการแข่งขันต่อเนื่องด้วยนั้น ผลลัพธ์ของการแพ้หรือชนะคำนวณกันเป็นวินาที ซึ่งเมื่อเข้า Pit Stop ระยะเวลาก็จะต้องเพิ่มขึ้น โดยเบื้องหลังของชัยชนะอยู่ที่เมื่อยางที่ถูกใส่ไปกับรถในสนามแข่งสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าก็ทำให้ไม่ต้องเข้า Pit Stop บ่อยๆ ให้โดนบวกเวลาเพิ่ม รวมถึงประสิทธิภาพการเกาะถนนในสนาม ชัยชนะจึงตกเป็นของผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุด

เช่นเดียวกัน เมื่อการพัฒนายางจากรถแข่งสู่รถในชีวิตจริง มีพื้นฐานสอดคล้องกันจาก “ผลของการแข่งขันในสนาม” กับ “ผลของความต้องการผู้บริโภค” จึงสะท้อนออกมาในทิศทางเดียวกันในยางมิชลิน