CSR & SD สู่ SE แนวคิด...เพื่อโลกที่ยั่งยืน
โดย...ชาติชาย พยุหนาวีชัย
โดย...ชาติชาย พยุหนาวีชัย
CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility หรือความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร ซึ่งแทบทุกบริษัทจะมีการดำเนินกิจกรรมเพื่อแสดงออก ซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคมในรูปแบบต่างๆ ทั้งการบริจาคและการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ปลูกป่า สร้างบ้านปลา บ้านปู อนุรักษ์ปะการัง สร้างฝายกั้นน้ำ เลี้ยงอาหารเด็ก ฯลฯ แต่ปัจจุบันได้เกิดแนวความคิดที่ไม่ได้มองเพียงแค่กิจกรรมที่ทำเฉพาะอย่าง มีการคิดกันถึงเรื่องความยั่งยืน Sustainable Development (SD) หรือการพัฒานาที่ยั่งยืน โดยกิจกรรมที่ทำต้องนำไปสู่ผลของการเปลี่ยนแปลงโลกที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย ซึ่งองค์กรที่มีแนวคิดอย่างหลังนี้จะต้องมีวิสัยทัศน์ โครงสร้างองค์กรและทักษะการบริหารจัดการระดับสูงที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่ด้วย จึงจะสามารถทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ และนำไปสู่การเป็น Social Enterprise (SE) หรือกิจการเพื่อสังคมที่แท้จริง
คำถามคือ Social Enterprise คืออะไร นิยามที่ง่ายที่สุดของ SE คือองค์กรที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งพาเงินบริจาคเป็นกิจการที่อยู่ได้โดยมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเอง แนวคิดของกิจการเพื่อสังคม จึงเป็นแนวคิดที่อยู่บนพื้นฐานของการพึ่งตนเองและเป็นองค์กรที่อยู่ได้อย่างยั่งยืน
จริงๆ คำว่า “กิจการเพื่อสังคม” เป็นคำที่มีการพูดกันแพร่หลายมาหลายปี หมายถึงกิจการที่ภาคเอกชน ซึ่งเป็นบุคคล กลุ่มบุคคลหรือชุมชนได้ประกอบกิจการ หรือดำเนินการโดยมีเป้าหมายอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก และมีรายรับจากการขายสินค้าหรือบริการนั้นๆ เบ็ดเสร็จ รวมความแล้วกิจการเพื่อสังคมมีลักษณะพิเศษ 3 ประการ คือ 1.มีกระบวนการผลิต/ดำเนินกิจการ/ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมิได้ก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวต่อสุขภาวะ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม 2.มีศักยภาพสร้างความยั่งยืนทางการเงินของตนเอง และ 3.ผลกำไรส่วนใหญ่ที่เกิดจากการดำเนินกิจการจะต้องถูกนำไปขยายผล เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม หรือคืนแก่สังคม
ในอดีตเราจะเห็นว่ามีหลายองค์กรที่เน้นการทำ CSR แต่ต่อมาสังคมเริ่มตระหนักว่า การให้ไม่อาจสร้างความยั่งยืนได้ จึงมีการเน้นในเรื่องของความยั่งยืน SD ควบคู่ไปด้วยกัน ปัจจุบันจึงมีหลายองค์กรที่ผนวกสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน และนี่คือที่มาของการก้าวเดินจาก CSR สู่ SE กิจการเพื่อสังคม ซึ่งในประเทศของเราก็มีหลายองค์กรที่มีจุดยืนในการเป็นองค์กร SE เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่ทำผลิตภัณฑ์ดอยตุง ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขา ทดแทนการยังชีพด้วยการปลูกฝิ่น และอีกหลายๆ องค์กร เป็นต้น
หากถามว่าทำไมถึงมีแนวคิดกิจการเพื่อสังคมเกิดขึ้น คำตอบอยู่ที่ปัญหาของโลกที่มีมากมายมหาศาล จนเราต้องกลับมาทบทวนวิธีคิดกันใหม่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สร้างความสมดุลให้กับโลกด้วย และเมื่อหันมาดูประเทศของเราจะเห็นได้ว่า ท่ามกลางความเจริญเติบโตดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ช่องว่างระหว่างความร่ำรวยและความยากจน จากสถิติเมื่อปี 2537 ประเทศไทยมีคนจนประมาณ 24 ล้านคน ปี 2557 คนจนลดเหลือประมาณ 8 ล้านคน แต่การลดลงนี้ไม่ได้มาจากช่องว่างที่แคบเข้า เพราะเมื่อดู 20% แรกของคนที่ร่ำรวย กับ 20% สุดท้ายของคนที่ยากจน ระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ช่องว่างก็ยังห่างอยู่ 12 เท่าเหมือนเดิม ที่น่าสนใจยิ่งคือ อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นทุกปี (มากบ้างน้อยบ้างตามสถานการณ์) ไม่ได้ทำให้เกิดการกระจายรายได้ที่เหมาะสมจนสามารถลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนลงได้ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาสังคมต่างๆ ตามมา
นอกเหนือไปกว่านั้น ผลของการเติบโตทางเศรษฐกิจอันมีที่มาจากอุตสาหกรรมและธุรกิจยังไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาษาเศรษฐศาสตร์เราเรียกว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่ได้คำนึงถึงผล
ข้างเคียง หรือ Externality นั่นก็คือการมองเฉพาะตัวเลขที่เป็นผลกำไรทางธุรกิจ ให้ความสำคัญเฉพาะตัวเลขที่เป็นการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แต่ไม่ได้มองว่าตัวเลขนั้นทำให้เกิดปัญหาสังคมหรือปัญหาสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน
หลายบริษัทจึงเริ่มตระหนักว่า ถ้าเติบโตแบบนี้ต่อไปคงจะไปไม่ได้ จึงได้พยายามทำในสิ่งที่เรียกว่าคืนกำไรสู่สังคม การคืนกำไรให้กับสังคมจึงเกิดขึ้นมาในรูปของความรับผิดชอบขององค์กร หรือ CSR แต่บางองค์กรทำกิจกรรมหลากหลายประเภทมากมาย โดยไม่ได้ค้นหาตนเองว่าควรทำกิจกรรมอะไร และเพื่ออะไร ดังนั้น เมื่อไม่มีการร่วมกันค้นหาจึงเป็นกิจกรรมที่ทำตามกระแสหรือทำตามฤดูกาลมากกว่า เช่น ช่วงนี้มีปัญหาอะไรเราก็เข้าไปแก้ไขปัญหานั้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบนี้ไม่ใช่แนวคิดที่ผิด เพราะสังคมของเรายังมีปัญหาเฉพาะหน้ามากมายที่ต้องแก้ปัญหา แต่ขณะเดียวกัน ถ้ามัวแต่แก้ปัญหาอย่างเดียว โดยละเลยความร่วมมือในการป้องกันปัญหา ก็ไม่มีทางที่สังคมจะเกิดดุลยภาพได้ จึงได้เกิดแนวคิดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SD ขึ้นมา โดยเน้นการคิดทำ ปรับเปลี่ยน เพื่อป้องกันปัญหา ดังนั้น แนวคิดเรื่องของ CSR และ SD จึงเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่นำไปสู่การเป็นกิจการเพื่อสังคม หรือ SE ที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน
และในวันนี้ กรอบความคิดในสังคมได้มีการพัฒนาจาก CSR ไปสู่ SE นั่นคือไม่ใช่แค่กิจการที่เน้นการให้ แต่เป็นกิจการเพื่อสังคมที่เน้นการให้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับที่องค์การสหประชาชาติประกาศไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1987 ว่า “อนาคตร่วมกันของเรานั้นจะต้องเป็นอนาคตที่ยั่งยืน เป็นอนาคตที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการสนองความต้องการของคนรุ่นต่อๆ ไป” ความหมายก็คือจะต้องทำให้คนรุ่นปัจจุบันสามารถเติบโตได้อย่างมีสมดุล ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ทรัพยากรจนหมดสิ้น จนคนรุ่นหลังไม่อะไรเหลือ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องประกอบด้วยการพัฒนาที่เศรษฐกิจ สังคม เติบโต และสิ่งแวดล้อมได้รับการดูแลรักษา
และเป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลไทยได้มีนโยบายผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผ่านแผนยุทธศาสตร์และแผนแม่บทว่าด้วยการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เพื่อสนับสนุนให้มีภาคเอกชนที่ประกอบกิจการเพื่อสังคมมากขึ้น ซึ่งในธุรกิจภาคการเงินการธนาคารแล้ว ถือว่าเป็นหน่วยหนึ่งที่จะสนับสนุนกิจการเพื่อสังคมให้เติบโตแพร่หลายได้อย่างมีศักยภาพ และธนาคารออมสินก็ถือเป็นธนาคารที่มีบทบาทในด้านนี้มาโดยตลอด จากภารกิจเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ตั้งแต่โครงการธนาคารประชาชน และการยกระดับกองทุนหมู่บ้านเป็นสถาบันการเงินชุมชน เพราะสิ่งที่ธนาคารออมสินทำไม่ใช่แค่การให้สินเชื่อ หากยังให้การฝึกอบรมความรู้ทางการเงิน ความรู้ทางการประกอบอาชีพแก่ประชาชน กลุ่มชุมชน เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าธนาคารออมสินเป็น SE โดยเนื้อแท้ เป็นธนาคารเพื่อสังคมที่เริ่มต้นจากการประกอบธุรกิจทางการเงินและผลของธุรกิจนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคม และนับจากนี้ต่อไปเราจะได้เห็นบทบาทของธนาคารออมสินที่ชัดขึ้น ในด้านที่ไม่ใช่เพียงการเป็น SE แต่ยังเป็นธนาคารที่ช่วยแผ่ขยาย SE ให้กับสังคมไทย
ปัจจุบัน นอกเหนือจากบทบาทในการเป็นธนาคารเพื่อการออมเงินแล้ว ออมสินยังมุ่งเน้นการเป็นธนาคารที่ออมความสุขและอนาคตที่มั่นคงให้กับประชาชนชาวไทย โดยจะเป็นอีกกำลังสำคัญที่จะร่วมพัฒนา
และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ทั้งทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ไปพร้อมกัน โดยคำจำกัดความของการออมจะไม่ได้หมายถึงการออมเงินแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึงการออมสังคมและสิ่งแวดล้อม ออมพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ออมความสุขและคุณภาพชีวิตของคนไทย ออมนวัตกรรมและเทคโนโลยี และออมคุณธรรมและจริยธรรมอีกด้วย เหล่านี้คือสิ่งที่ธนาคารออมสินจะส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดผลแห่งการออมกับประเทศชาติ เพื่อให้ลูกหลานไทยมีอนาคตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป


