'ผมไม่ยึดติดกับตำแหน่ง' วรภัค ธันยาวงษ์
2 ปีกว่า ของ วรภัค ธันยาวงษ์ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย อาจไม่มีอะไรหวือหวา
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง
2 ปีกว่า ของ วรภัค ธันยาวงษ์ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย อาจไม่มีอะไรหวือหวา โดยเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์กรุงไทย ซึ่ง วรภัค กล่าวว่า ในปีนี้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของธนาคารที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น เป็นการเก็บเกี่ยวสิ่งที่ทำไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ภายใต้แผนทรานฟอร์เมชั่น วรภัคสามารถเขย่าองค์กรให้สะเทือนจนพนักงานถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม ตามการปรับเปลี่ยนการบริหารงานบุคคล ที่จะให้ผลตอบแทนตามผลงาน ความยากง่ายของงานที่ทำ มีดัชนีวัดผลอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
“การปรับระบบการประเมินผลงาน (เคพีไอ) ใหม่นี้ จะให้ความยุติธรรมกับพนักงานทุกคน ระบบเดิมมีความแตกต่างน้อยมาก จะมีคนที่ไม่ทำงานแต่เกาะเพื่อนไป ตอนนี้เกาะใครไม่ได้แล้ว เกณฑ์มันจะแยกออกมาให้เห็นว่าคุณทำงานหรือไม่ บางคนก็หนีจากงานยากไปทำงานง่าย ตอนนี้ทำงานง่ายก็จะถูกประเมินต่ำกว่าคนทำงานยาก” วรภัค กล่าว
วรภัค กล่าวว่า การประเมินผลงานของผู้จัดการสาขา เดิมจะรู้ผลงานเป็นรายสาขา กว่าจะรู้ก็ใช้เวลาเดือนครึ่ง แต่ขณะนี้สามารถรู้ได้เป็นรายวันว่าเขาทำอะไรบ้าง สามารถติดตามได้เป็นรายบุคคล ดังนั้นการแต่งตั้งโยกย้ายผู้จัดการสาขาและพนักงานของธนาคารเป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผล ที่มาที่ไป 90% เป็นการประเมินจากผลงาน อีก 10% เป็นจิตพิสัย
แน่นอนว่า การปรับเปลี่ยนองค์กรจะมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ ซึ่งวรภัคก็ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น การที่จะต้องปรับปรุงระบบบริหารงานบุคคลก่อน เพราะต้นทุนส่วนนี้ของธนาคารสูงกว่าธนาคารใหญ่ด้วยกันมาก มีคนที่ในตลาดการเงินควรจะจ้างเดือนละ 3 หมื่นบาท แต่ได้เงินเดือนเป็นแสน ก็ต้องแก้ไขให้ค่าตอบแทนสะท้อนค่าของงานที่แท้จริง แถมในอดีตธนาคารจะปรับเงินเดือนให้พนักงานโดยอัตโนมัติ 7.5%
“การทำงานทุกขั้นตอนผมก็รายงานให้คณะกรรมการธนาคารทราบเป็นระยะว่าผมบริหารจัดการอย่างไร” วรภัค กล่าว
นอกจากนี้ เพื่อประเมินผลการเปลี่ยนแปลง ธนาคารได้ว่าจ้างบริษัท แกลลัพ มาสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อธนาคาร พบว่าความพึงพอใจของลูกค้าขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง วรภัค กล่าวว่า ผลงานเหล่านี้ต้องยกให้เป็นผลงานของพนักงานธนาคารกรุงไทยทั้งหมดที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
นั่นคือการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารคน ส่วนการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของระบบงานธนาคาร สิ่งที่วรภัคเข้าไปรื้อใหญ่คือ กระบวนการบริหารความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ และการจัดซื้อจัดจ้าง
“ผมให้รื้อการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่าง ไม่ให้มีการทำด้วยวิธีพิเศษ จะต้องใช้วิธีการประมูลให้หมด ไม่ให้มีการแสวงหาประโยชน์ ซึ่งอาจจะทำให้คนไม่พอใจ เลยหยิบเอาเรื่องหนี้เสียขึ้นมาโจมตีฝ่ายบริหาร” กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าว
วรภัค ระบุว่า หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นใน 4 เดือนของปีนี้ 1.4 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นหนี้เสียลูกค้ารายย่อยที่ปล่อยกู้ระหว่างปี 2552-2554 เป็นสินเชื่อรายย่อย 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 80% เป็นสินเชื่อบ้าน อีก 3,000 ล้านบาท เป็นของสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี ในช่วงนั้นสินเชื่อรายย่อยเพิ่มจาก 3 แสนล้านบาท เป็น 8 แสนล้านบาท เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวจากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจโลกตกต่ำก็ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าลดลง ซึ่งปัญหาหนี้เสียขณะนี้เกิดขึ้นกับทุกธนาคาร
ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลูกค้ารายย่อยของระบบธนาคารอยู่ที่ 10% แต่ของธนาคารกรุงไทยอยู่ที่ 19% สูงกว่าค่าเฉลี่ย
“เมื่อหนี้เสียเรามากกว่าคนอื่นก็ต้องกลับมาดูว่า ตะแกรงการคัดกรองสินเชื่อของเราอาจจะไม่เข้มข้น ซึ่งผมก็ได้แก้ไขปรับระบบปิดความเสี่ยงไปหมดแล้วตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา” วรภัค กล่าว
สำหรับการเสนอคณะกรรมการธนาคารให้ตั้งสำรองหนี้พิเศษในผลประกอบการงวดไตรมาสแรกของปีนี้เป็นเงิน 3,600 ล้านบาทนั้น เป็นเพราะธนาคารเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนอาจจะทำให้หนี้เสียเพิ่มมากขึ้น จึงเสนอตั้งสำรองล่วงหน้าเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินเหรียญสหรัฐขายในต่างประเทศ ที่ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติวงเงินไว้ให้ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ธนาคารเพิ่งออกไป 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อต้นปีนี้
“เราเตรียมตัวล่วงหน้า หากมีสำรองหนี้สูงยิ่งแสดงว่าเราแข็งแรง การระดมทุนก็จะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง หุ้นกู้จำนวนนี้จะนำมาเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 เพื่อขยายธุรกิจ ขณะนี้ดอกเบี้ยเริ่มลดลง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะระดมทุน” วรภัค กล่าว
ทั้งนี้ วรภัค ระบุว่า ธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้เพิ่มเดือนละ 500 ล้านบาท มาตั้งแต่ต้นปี 2557 ต่อมาเราก็เพิ่มเป็นเดือนละ 700 ล้านบาท ขณะนี้ตั้งสำรองไปแล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย อย่างกรณีของสหฟาร์ม ลูกหนี้เริ่มกลับมาเป็นหนี้ปกติ ธนาคารตั้งสำรองหนี้ไปแล้ว เงินที่สำรองไปนี้ในที่สุดก็จะกลับมาเป็นกำไรของธนาคาร
สำหรับระบบสินเชื่อนั้นวรภัค เปิดเผยว่า ได้ปรับกระบวน การปล่อยสินเชื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้นไปอีก มีเกณฑ์วัดที่ชัดเจนว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธลูกค้า
“การปล่อยสินเชื่อจะต้องดูว่าอุตสาหกรรมที่ลูกหนี้มาขอเงินกู้เป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จบ ไม่ต้องคุยต่อ เพราะทำดีให้ตายก็ชำระหนี้ไม่ได้ ต่อมาหากเห็นว่าธุรกิจไปรอดก็จะเข้าไปดูว่าโครงสร้างการเงิน โครงสร้างการบริหารบริษัทเป็นอย่างไร มีการลงทุนอย่างไร ลงทุนเกินตัว มีหนี้มากเกินไปหรือไม่ ถ้าโครงสร้างไม่ดีก็ต้องไปแก้ไขก่อนจึงจะให้กู้” วรภัค กล่าว
เกณฑ์สินเชื่อที่เข้มงวดนี้ ธนาคารใช้กับลูกค้าทุกคน แม้จะเป็นนักการเมืองมาขอกู้เรายิ่งระมัดระวังเป็นพิเศษ หากไม่เข้าเกณฑ์ของธนาคารก็ปฏิเสธ เรามีเหตุผลเขาก็คงเข้าใจ และตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ยังไม่เคยอนุมัติสินเชื่อให้นักการเมือง
วรภัค กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ที่ตัดสินใจมาที่นี่เพราะเห็นว่างานท้าทาย ผมตั้งใจที่จะทำให้ธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารที่แข็งแรง สามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ พนักงานส่วนใหญ่ให้กำลังใจให้ทำให้สำเร็จ ภารกิจของผมคือส่งคนให้ถึงฝั่ง ขณะนี้อยู่กลางทาง อีกนิดหนึ่งก็ถึงฝั่งแล้ว”


