posttoday

การยึดรถอาจถูกดำเนินคดีกรรโชกได้

28 พฤษภาคม 2558

การยึดรถของไฟแนนซ์ พนักงานยึดรถจะต้องสุภาพ หากใช้คำพูดหรือมีกิริยาท่าทางข่มขู่ บังคับขู่เข็ญ จะทำอันตรายผู้เช่าซื้อ อาจมีความผิดฐานกรรโชกได้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5146/2557

การยึดรถของไฟแนนซ์ พนักงานยึดรถจะต้องสุภาพ หากใช้คำพูดหรือมีกิริยาท่าทางข่มขู่ บังคับขู่เข็ญ จะทำอันตรายผู้เช่าซื้อ อาจมีความผิดฐานกรรโชกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5146/2557

ป.อ.มาตรา 337 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก” ดังนี้ การขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าจะได้รับภัยในทรัพย์สินของตนจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญ ซึ่งอาจขู่เข็ญตรงๆ หรือใช้ถ้อยคำหรือทำกิริยาให้เข้าเช่นนั้นก็ได้ โดยไม่จำเป็นที่ผู้ขู่เข็ญต้องกระทำต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญจนเสียรูปทรง หรือเปลี่ยนรูปทรงไปจากเดิมหรือใช้การไม่ได้หรือทำให้เสื่อมค่าเสื่อมราคาดังที่จำเลยฎีกา

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าติดตามรถยนต์คืน หากไม่นำมาให้จะยึดรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป จึงเข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญคือรถยนต์กระบะของผู้เสียหายแล้ว ซึ่งทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและยินยอมนำเงิน 2,300 บาท ให้จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 83 กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,300 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 83 กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,300 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายจำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก 3 ปี ลักษณะของความผิดของจำเลยเป็นการหลอกลวงประชาชนผู้สุจริตให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายของผู้อื่น เป็นเรื่องที่ร้ายแรงจึงไม่รอการลงโทษ ให้จำเลยคืนเงิน 2,300 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรกหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่านางบุษกร ผู้เสียหาย และนายเสริญ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน นช 2738 อุดรธานี ที่ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของ แต่ผู้เสียหายและนายเสริมไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กระบะคันดังกล่าวจากธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) จำเลยไม่ได้เป็นพนักงานธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)

วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกับพวกมาที่บ้านผู้เสียหาย แจ้งว่าผู้เสียหายค้างชำระค่างวดรถยนต์ 3 งวด และมาติดต่อค่างวด ผู้เสียหายบอกว่าสามีไม่อยู่ ไม่รู้เรื่องรถจำเลยจึงบอกว่าถ้างั้นเอาค่าติดตามมา ธนาคารให้จำเลยกับพวกมาติดตามรถยนต์คืน ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี จำเลยถามว่ามีเท่าไร ผู้เสียหายบอกว่ามี 2,300 บาท จำเลยพูดว่าถ้าไม่งั้นจะเอารถยนต์ไป ผู้เสียหายกลัวจำเลยกับพวกจะยึดรถยนต์ไปจึงบอกให้จำเลยกับพวกเอาเงิน 2,300 บาท ไป จำเลยจึงเอาเงินจำนวนดังกล่าวไป

เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก” ดังนี้ การขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าจะได้รับภัยในทรัพย์สินของตนจากการ
กระทำของผู้ขู่เข็ญ ซึ่งอาจขู่เข็ญตรงๆ หรือใช้ถ้อยคำหรือทำกิริยาให้เข้าใจเช่นนั้นก็ได้ โดยไม่จำเป็นที่ผู้ขู่เข็ญต้องกระทำต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญจนเสียรูปทรง หรือเปลี่ยนรูปทรงไปจากเดิมหรือใช้การไม่ได้ หรือทำให้เสื่อมค่าเสื่อมราคาดังที่จำเลยฎีกา

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าติดตามรถยนต์คืน หากไม่นำมาให้จะยึดรถยนต์กระบะขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าติดตามรถยนต์คืน หากไม่นำมาให้จะยึดรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป จึงเข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญคือรถยนต์กระบะของผู้เสียหายแล้ว ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและยินยอมนำเงิน 2,300 บาท ให้จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

(ขอบคุณที่มาจากสำนักงานศาลยุติธรรม)

ตัวบทกฎหมายอ้างอิงพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558

มาตรา 11 ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะดังต่อไปนี้

(1) การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 337 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย

(1) ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ

(2) มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท

ข่าวล่าสุด

‘ม.สงขลาฯ’ ร่วมกรมการแพทย์ รับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาด้วย CAR-T Cell