กสิกรรุกกลุ่มเกษตร
กสิกรไทยจับมือ ธ.ก.ส.ผลักดันเกษตรกรใช้ระบบชำระเงินแทนเงินสด ชี้ช่วยขอกู้ง่ายขึ้น
กสิกรไทยจับมือ ธ.ก.ส.ผลักดันเกษตรกรใช้ระบบชำระเงินแทนเงินสด ชี้ช่วยขอกู้ง่ายขึ้น
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 เม.ย.นี้ ธนาคารกสิกรไทยจะลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้เกษตรกรซึ่งเป็นลูกค้า ธ.ก.ส.ใช้ระบบธุรกรรมการรับจ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรคุ้นเคยกับระบบชำระเงินแบบใหม่แทนการใช้เงินสด
ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ ผลักดันให้ภาคการเกษตรมีการใช้ระบบรับชำระเงิน เพราะคนในภาคเกษตรเป็นกลุ่มใหญ่ที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ในขณะที่การส่งเสริมให้เดินบัญชี มีเครดิต เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินที่ถูกกฎหมาย แก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้
“เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังรับเงินสด เพราะเขาอุ่นใจเมื่อได้กำเงิน ซึ่งนี่คือปัญหา เพราะการไม่เดินบัญชี ก็กู้ธนาคารลำบาก ไม่ว่าจะกู้ซื้อมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ เพราะธนาคารไม่เห็นประวัติ ไม่เห็นหลักฐาน จึงไม่มั่นใจที่จะปล่อยกู้ การร่วมกับ ธ.ก.ส.ถือเป็นการนำร่อง เพราะเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.มีจำนวนมาก และส่วนใหญ่ชินกับการใช้เงินสด” นายพัชร กล่าว
นายพัชร ยอมรับว่า การทำความเข้าใจกับเกษตรกรค่อนข้างลำบาก ซึ่งธนาคารพยายามส่งเสริมทุกทางมาหลายปี ทั้งการตั้งเครื่องเอทีเอ็ม การใช้บัตรเงินสดที่มีสิทธิประโยชน์ รวมทั้งเตือนถึงปัญหาการรับจ่ายเป็นเงินสดที่ไม่ค่อยปลอดภัย แต่ก็ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็จะพยายามโน้มน้าวทำความเข้าใจกับเกษตรกรควบคู่ไปกับการใช้รูปแบบกึ่งบังคับ เพื่อผลักดันให้ทุกพื้นที่เข้าถึงระบบชำระเงิน
นอกจากนี้ ธนาคารยังเตรียมขยายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องเติมเงินและชำระค่าบริการ ซึ่งมักตั้งอยู่ในย่านชุมชน เพื่อเป็นช่องทางในการให้เกษตรกรใช้ระบบหักชำระค่าบริการผ่านตู้ชำระเงิน ซึ่งลักษณะความร่วมมือจะมีการหารืออีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นกลุ่มพืชไร่ ได้แก่ มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ราว 4,000 ราย พอร์ตสินเชื่อราว 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ 3-4% ของพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งหมดซึ่งทุกวันนี้การรับซื้อผลผลิตต้องเบิกถอนเงินสดวันละ 10-12 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายเกษตรกร


