สัญญาทาสกับอาชีพนักแสดง
สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนพูดถึงสัญญาจ้างนักแสดงสังกัดระหว่างบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชันแนล กับนายพนม ยีรัมย์ ในฐานะนักแสดงซึ่งมีสัญญาอยู่ด้วยกัน 8 ข้อ ซึ่งนักแสดงมีข้อผูกพันตามสัญญาต้องเป็นนักแสดงในสังกัดตลอดอายุสัญญา และห้ามนักแสดงรับงานด้วยตนเองนอกจากผู้จ้าง ไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนเพียงใดหรือไม่ได้รับค่าตอบแทน โดยมีสัญญาผูกมัดถึง 10 ปี นอกจากนี้ การต่ออายุสัญญาก็มีการระบุไว้ว่า ให้แจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 เดือน และให้ถือว่ามีการต่อสัญญาออกไปตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้างทันที การแบ่งผลกำไรจะมีการคำนวณเป็นร้อยละตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดเป็นเรื่องๆ ไป
สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนพูดถึงสัญญาจ้างนักแสดงสังกัดระหว่างบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชันแนล กับนายพนม ยีรัมย์ ในฐานะนักแสดงซึ่งมีสัญญาอยู่ด้วยกัน 8 ข้อ ซึ่งนักแสดงมีข้อผูกพันตามสัญญาต้องเป็นนักแสดงในสังกัดตลอดอายุสัญญา และห้ามนักแสดงรับงานด้วยตนเองนอกจากผู้จ้าง ไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนเพียงใดหรือไม่ได้รับค่าตอบแทน โดยมีสัญญาผูกมัดถึง 10 ปี นอกจากนี้ การต่ออายุสัญญาก็มีการระบุไว้ว่า ให้แจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 เดือน และให้ถือว่ามีการต่อสัญญาออกไปตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้างทันที การแบ่งผลกำไรจะมีการคำนวณเป็นร้อยละตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดเป็นเรื่องๆ ไป
ที่ผมกล่าวมาเป็นสาระสำคัญคร่าวๆ ของสัญญาระหว่างสหมงคลฟิล์มกับจา พนมนะครับ หลายคนสอบถามมาว่าระหว่างสหมงคลฟิล์มกับจา พนม ใครผิดสัญญา ใครเอาเปรียบใคร ในฐานะที่เป็นทนายความ ขอตอบว่า ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีของศาล และศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้วและยกเลิกคำสั่งในเวลาต่อมา ทนายความที่มีมรรยาทไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์คดีดังกล่าว ผมต้องเกริ่นแบบนี้ก่อนนะครับ และไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าใครผิดใครถูก ต้องให้เกียรติศาลเป็นผู้วินิจฉัยครับ ผมขอให้ความรู้กับท่านผู้อ่านเกี่ยวกับสัญญาทาสว่ามันหมายถึงอะไรดีกว่านะครับ ไม่ใช่สัญญาของสหมงคลฟิล์มนะครับ พี่สุวัตร อภัยภักดิ์ คงไม่มาฟ้องผมนะครับ
สัญญาทาสตามกฎหมาย หมายถึงสัญญาที่ห้ามประกอบอาชีพ ปิดการทำมาหาได้โดยเด็ดขาด เช่น ห้ามไปรับจ้างเป็นนักแสดงกับบุคคลอื่นตลอดชีวิต พูดง่ายๆ ถ้าทำสัญญากับผู้ว่าจ้างแล้วถูกไล่ออก ถูกเลิกจ้าง หรือลาออก ห้ามประกอบอาชีพทุกชนิดตลอดชีวิต แบบนี้คือสัญญาทาส เพราะถือเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ในอดีตศาลฎีกาเคยตัดสินหลายคดีเกี่ยวกับสัญญาที่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นสัญญาทาสหรือไม่ ส่วนใหญ่เป็นสัญญาที่บังคับได้ตามกฎหมายโดยศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอาชีพบางอย่างเท่านั้น ห้ามเฉพาะไปทำงานหรือไปเป็นลูกจ้างหรือไปตั้งสถานประกอบการ แข่งขันกับนายจ้างเดิมในบริเวณใกล้เคียงกัน อันไม่เป็นธรรมกับนายจ้างและเป็นการห้ามภายในระยะเวลาที่กำหนดไม่เกิน 5 ปี เป็นต้น สัญญาประเภทนี้ไม่ถือว่าเป็นสัญญาทาส ซึ่งผมขอนำตัวอย่างคำพิพากษาฎีกามานำเสนอดังนี้สักสองตัวอย่าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1275/2543
ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่กำหนดว่าในระหว่างการจ้างงานหรือภายใน 5 ปีนับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง จำเลยจะต้องไม่ทำงานให้แก่บริษัทคู่แข่งทางการค้าของโจทก์หรือมีหุ้นในบริษัทคู่แข่งทางการค้าของโจทก์ซึ่งครอบคลุมถึงประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ (พม่า) เกี่ยวกับกิจการขนย้ายของตามบ้านฯ เป็นเพียงข้อจำกัดห้ามการประกอบอาชีพแข่งขันกับโจทก์โดยจำกัดประเภทของธุรกิจไว้อย่างชัดเจนมิได้ห้ามประกอบอาชีพปิดทางทำมาหาได้ของจำเลยอย่างเด็ดขาดและจำเลยสามารถประกอบอาชีพหรือทำงานในบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขายสินค้าหรือบริการอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือข้อตกลงได้ ขอบเขตพื้นที่ก็ห้ามเฉพาะในกลุ่มประเทศในอินโดจีนมิได้รวมถึงประเทศใกล้เคียงอื่นๆ ลักษณะข้อตกลงเช่นนี้ไม่ใช่การตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งหมด เพียงแต่ห้ามประกอบอาชีพบางอย่างที่แข่งขันกับโจทก์ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีที่ชอบในเชิงของธุรกิจ ไม่ปิดการทำมาหาได้ของฝ่ายใดโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548/2533
สัญญาที่บริษัทโจทก์ทำกับจำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นลูกจ้างว่าภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง ลูกจ้างจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนา ทำ ผลิต หรือจำหน่าย (สุดแต่จะพึงปรับได้กับกรณีของลูกจ้าง) ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับบริษัทโจทก์ที่ตนได้ เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ในระหว่างที่ทำงานกับบริษัทโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทโจทก์ สัญญาดังกล่าวไม่ได้ห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาด คงห้ามจำเลยเฉพาะสิ่งที่แข่งขันกับงานของบริษัทโจทก์ และในส่วนของงานที่จำเลยเคยทำกับบริษัทโจทก์ ทั้งเป็นการห้ามเพียงตาม ระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น ไม่ตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งหมดทีเดียว จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในเชิงการประกอบธุรกิจโดยชอบไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ ทางแก้ของจา พนม ในการต่อสู้คดีนี้ขออธิบายเป็นรายประเด็น ถ้า จา พนม มีความเชื่อว่าเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
ประเด็นแรก สัญญาที่ให้ลงนามเป็นสัญญาสำเร็จรูปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ มาตรา 3 โดยมีการกำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้า ใช้สำหรับนักแสดงทุกคนในสังกัดของผู้ว่าจ้างเขียนครอบคลุมให้ผู้รับจ้างต้องรับภาระหรือต้องรับผิดมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติไม่ตรงกับเจตนาของคู่สัญญาอ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 1797/2549
ประเด็นที่สอง การบังคับต่อสัญญาอัตโนมัติโดยไม่อาศัยความยินยอมของคู่สัญญา เป็นข้อตกลงให้สิทธิคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเรียกร้องหรือกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งรับภาระเพิ่มขึ้นกว่าภาระที่อยู่ในเวลาทำสัญญาตามมาตรา 4(5) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ
ประเด็นที่สาม สัญญาว่าจ้างนักแสดงเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพในการประกอบอาชีพการงานที่ต้องรับภาระมากกว่าที่พึงคาดหมายได้ตามปกติ เมื่อพิเคราะห์ถึงขอบเขตในด้านพื้นที่และระยะเวลาของการจำกัดสิทธิเสรีภาพ กล่าวคือ ห้ามทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศและระยะเวลานานมากนับสิบปี ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว
ประเด็นที่สี่ ถึงแม้จะฟังว่า จา พนม ผิดสัญญาผู้ว่าจ้างนักแสดงยังมีภาระการพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องค่าเสียหายว่ามีค่าเสียหายเกิดขึ้นจริงและเป็นผลมาจากกระทำของนักแสดง ซึ่งประเด็นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียกค่าเสียหายจากนักแสดง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ซึ่งตัวผมเองเคยทำคดีลักษณะนี้มาแล้วที่ศาลแรงงานกลาง ศาลวินิจฉัยว่าผิดสัญญาจ้างแรงงานจริง แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงยกฟ้องในส่วนค่าเสียหาย
ประเด็นสุดท้าย จา พนม จะต้องฟ้องแย้งขอศาลให้มีคำสั่งทำลายข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับตนเอง
สุดท้ายนี้หวังว่าในประเทศไทยจะไม่มีสัญญาทาสอีกต่อไป และนักแสดงจะได้ลืมตาอ้าปากได้ แต่ขณะเดียวกัน นักแสดงก็ต้องคำนึงถึงบุญคุณที่ค่ายหนังได้ลงทุนสร้างตัวเองมาด้วยนะครับ ถ้าจะฉีกสัญญาก็ต้องเป็นกรณีที่เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเท่านั้น ไม่ใช่อาศัยช่องว่างของกฎหมายหรือกระแสฉีกสัญญาและทำให้ผู้ประกอบธุรกิจโดยสุจริตได้รับความเสียหาย ถ้าทำแบบนั้นนักแสดงคนนั้นก็ไม่น่าที่จะได้รับความยอมรับจากสังคม
หมายเหตุ : เนื้อหาฉบับวันที่ 2 เม.ย. เรื่องแบ่งชำระภาษี 3 งวด เป็นเนื้อหาของคอลัมน์ภาษาภาษี ซึ่งตีพิมพ์ทุกวันพฤหัสบดี จึงขออภัยมา ณ ที่นี้


