บัวหลวงเสริมแกร่งธุรกิจไทย เดินหน้าบุกเออีซี
โดย...ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
โดย...ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
แผนธุรกิจเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ของธนาคารกรุงเทพ จากนี้ไปจะไม่ใช่การเปิดสาขาอีกต่อไป แต่จะเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งรายใหญ่และรายกลาง เตรียมความพร้อมไว้รับอาเซียนตลาดเดียว ที่มีประชากรถึง 600 ล้านคน ที่มีโอกาสทั้งด้านการค้าการลงทุนรออยู่
ไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า ปัจจุบันธนาคารกรุงเทพมีสาขาเกือบทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน ยกเว้นบรูไนเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา หลังจากผู้บริหารและกรรมการธนาคารกรุงเทพได้เห็นพัฒนาการในการเป็นเออีซี ทำให้ต้องมาวางแผนธุรกิจกันใหม่ และย้ำว่าต้องผนึกอาเซียนให้เป็นภาพเดียวกันให้ได้ รวมทั้งเชื่อมโยงยังประเทศคู่ค้าของอาเซียน หรืออาเซียนบวกสาม คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ทั้งนี้ บทบาทสำคัญของธนาคารที่จะมุ่งมั่นในการเปิดรับเออีซี คือ การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่แม้จะดำเนินการมาโดยตลอด แต่ปีนี้จะเพิ่มความเข้มข้นในเนื้อหาสาระ เพราะการเปิดเออีซีกำลังจะมีผลในปีนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกค้าและผู้สนใจมากที่สุด
โดยล่าสุดธนาคารกรุงเทพจะจัดงานสัมมนาให้ความรู้และชี้โอกาสทางธุรกิจจากการเปิดเออีซี เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทย ในงาน AEC Business Forum ภายใต้หัวข้อ “2015 : The Year of AEC” ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ โดยงานนี้ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมให้ข้อมูลนโยบายการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ โดยจะมีผู้บริหารบริษัทข้ามชาติแสดงวิสัยทัศน์ต่อการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน รวมทั้งผู้บริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่ร่วมให้ประสบการณ์ธุรกิจในเออีซี เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โดยมีผู้จัดการสาขาประเทศในอาเซียน 8 ประเทศของธนาคาร เปิดคลินิกให้ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการอีกด้วย
ไชยฤทธิ์ ระบุด้วยว่า แผนการขยายสาขาต่างประเทศรับเออีซีของธนาคารจะสิ้นสุดลงในปีนี้ โดยสาขาที่กัมพูชาซึ่งเริ่มทำการตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2557 ทุนจดทะเบียน 50 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น จะมีพิธีเปิดสาขาอย่างเป็นทางการกลางปี 2558 ถือเป็นการกลับมาเปิดสาขาอีกครั้ง หลังจากที่ปิดไปเมื่อ 10 ปีก่อนหลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ
การเปิดสาขาที่กัมพูชามีอุปสรรคเล็กน้อย ต้องมีการศึกษาตลาดกันใหม่ เพราะกัมพูชาเปลี่ยนแปลงไปมาก มีเมืองใหญ่เกิดขึ้นหลายแห่ง ที่สำคัญคือ มีธุรกิจไทยไปลงทุนในกัมพูชาจำนวนมาก นอกจากนี้ ตลาดกัมพูชายังได้รับความสนใจจากต่างชาติอย่างมาก ทั้งญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เวียดนาม และสิงคโปร์ เพราะต้นทุนแรงงานถูก และยังได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี) จากสหภาพยุโรป
ขณะเดียวกัน กัมพูชาเริ่มให้ใบอนุญาตธนาคารต่างชาติยากขึ้น หลังธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แสดงความเป็นห่วงว่าวิกฤตการเงินจะลุกลามมายังกัมพูชาที่มีธนาคารถึง 40 ราย ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ขณะที่ธนาคารท้องถิ่นมีเพียง 10 รายเศษเท่านั้น
นอกจากนี้ ในปีนี้ธนาคารจะเปิดสาขาต่างประเทศเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ สาขาย่างกุ้งในพม่า ที่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม หลังจากได้ใบอนุญาตจากทางการพม่า และสาขาปากเซ ซึ่งเป็นสาขาที่ 2 ใน สปป.ลาว คาดว่าทั้งสองสาขาจะเปิดได้ในช่วงกลางปี
ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ธนาคารจะมีสาขาต่างประเทศ 31 สาขา จากปัจจุบัน 29 สาขา และอีก 1 สำนักงานตัวแทน ใน 14 เขตเศรษฐกิจสำคัญ โดยจะยังไม่มีแผนเปิดสาขาในประเทศใหม่เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ แต่อาจจะมีการขยายสาขาเพิ่มในบางประเทศที่มีธุรกรรมหนาแน่นก็เป็นได้
สำหรับผลประกอบการธุรกิจต่างประเทศช่วงต้นปีแผ่วลงเล็กน้อย ปัจจัยสำคัญมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน โดยเฉพาะในเวียดนามที่ลดค่าเงินด่องลงแรง แต่ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจยังเป็นไปด้วยดี ธุรกรรมการค้าการลงทุนเติบโตต่อเนื่อง โดยสาขาที่ทำกำไรให้ธนาคารมากที่สุด คือ สาขาในอินโดนีเซีย ขณะที่ประเทศเกิดใหม่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (นิม) ค่อนข้างสูงเฉลี่ย 3-4% ปัจจุบัน สินเชื่อธุรกิจต่างประเทศของธนาคารมีสัดส่วน 16-18% ของพอร์ตสินเชื่อรวม


