posttoday

ประโยชน์กับพระคุณเจ้า

04 กุมภาพันธ์ 2558

ข่าวพระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเงินเป็นจำนวนมากในลักษณะต่างๆ ได้สร้างความอึดอัดและไม่สบายใจแก่บรรดาพุทธศาสนิกชน

ข่าวพระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเงินเป็นจำนวนมากในลักษณะต่างๆ ได้สร้างความอึดอัดและไม่สบายใจแก่บรรดาพุทธศาสนิกชน

นักการธนาคารให้ข้อมูลว่า วัดทั่วประเทศมีเงินฝากอยู่ในธนาคารรวมกัน 3 แสนล้านบาท ขณะที่นักวิชาการได้ประเมินว่า เงินทำบุญจากศรัทธาของญาติโยมสูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาท/ปี หลายวัดมีรายรับจากเงินทำบุญหรือบริจาค 3.2 ล้านบาท/ปี บางวัดมีรายรับจากเงินทำบุญหรือบริจาคมากกว่า 50 ล้านบาท/ปี ในขณะที่บางวัดยากจน แม้แต่เงินจะสร้างศาลาในวัดยังไม่มี

วัดในประเทศไทยมีอยู่ 3.7 หมื่นวัด แต่มีเพียงแค่ไม่กี่พันวัดเท่านั้นที่ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายถูกต้อง และสามารถส่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ นอกนั้นดูเหมือนว่าสำนักงานพระพุทธศาสนา
แห่งชาติจะทำอะไรไม่ได้เลย ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ

ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารและจัดการในวัดคือ เจ้าอาวาส ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45 ถือว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หากเจ้าอาวาสกระทำผิดกฎหมายอาญาก็ต้องมีโทษเช่นเดียวกับเจ้าพนักงานของรัฐกระทำผิด

มาตรา 37 เจ้าอาวาสมีหน้าที่ เช่น บำรุงรักษา จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัด ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล บรรดาเงินที่ญาติโยมบริจาค หรือได้รับจากการใช้พื้นที่วัด เจ้าอาวาสมีหน้าที่ต้องนำมาเพื่อใช้ในกิจการของวัด หากนำไปใช้ส่วนตัวก็ผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกได้ เคยมีคำพิพากษาฎีกาตัดสินว่า พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เรียกเอาเงินสินบนในการให้เช่าที่ดินของวัด มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน

เมื่อเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงาน หากพระและผู้ที่อยู่ในวัดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าอาวาส ถือเป็นความผิดอาญา ซึ่งศาลฎีกาเคยตัดสินคดีที่เจ้าอาวาสได้มีคำสั่งให้พระและผู้ที่อยู่ในวัดต้องแจ้งลาเมื่อไม่อยู่ในวัด เมื่อไม่ปฏิบัติตามถือว่าเป็นความผิดอาญาฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

ดังนั้น เมื่อเจ้าอาวาสเป็นทั้งผู้บริหารของวัด และเป็นทั้งเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และอาจเกี่ยวข้องกับเงินและผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีแนวความคิดว่า เจ้าอาวาสและพระที่มีตำแหน่งบริหาร และเกี่ยวข้องกับการเงิน ควรที่จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน คล้ายกับข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมือง

พระบางรูปแม้ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ในการบริหารจัดการเงินของวัด แต่เมื่อมรณภาพกลับปรากฏว่ามีทรัพย์สินหรือเงินฝากที่เป็นมรดกเป็นจำนวนมากกว่าฆราวาสทั่วไปเสียอีก บางรูปมีมากกว่าหลักสิบล้านบาท ซึ่งก็เป็นไปได้เพราะพระเมื่อมีรายได้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้แก่กรมสรรพากรแบบฆราวาส เมื่อพระมรณภาพลงโดยไม่มีทายาทโดยชอบตามกฎหมาย หรือไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์มรดกของพระรูปนั้นต้องตกเป็นของวัด

ในกรณีที่พระมีอำนาจบริหารจัดการทางการเงินเป็นจำนวนที่สูงมาก หากปรากฏว่าบรรดาญาติพี่น้องของท่านประกอบธุรกิจใหญ่โตมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ย่อมทำให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเกิดความสงสัย หรือไม่สบายใจว่า ทุนรอนที่ใช้ในการประกอบธุรกิจนั้นมีที่มาจากไหน ดังนั้นอาจยิ่งเป็นการสมควรที่จะต้องให้บรรดาพระคุณเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งหลายได้แสดงบัญชีทรัพย์สินให้เป็นที่ชัดเจน

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า “ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง-เงิน หรือยินดีทอง-เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” ซึ่งถือเป็นอาบัติอย่างหนึ่ง แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไป เงินกลายเป็นสื่อกลางในการจับจ่ายใช้สอย แม้แต่พระก็จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเงิน เพียงแต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวัดจะมีคณะกรรมการวัดและไวยาวัจกรเข้ามาช่วยดูแล ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ว่าบุคคลเหล่านี้จะกล้าแสดงความคิดเห็น หรือทักท้วงมากน้อยแค่ไหน

บางที อาจถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องจัดระเบียบเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้พระพุทธศาสนาดำรงสืบต่อไป

ข่าวล่าสุด

อีลอน มัสก์ สร้างสถิติเป็นคนแรกของโลกที่รวยเกิน 700,000 ล้านดอลลาร์