แบรนด์ "ช้างคู่ลูกโลก" สุดยอดผลไม้กระป๋อง
“ช้างคู่ลูกโลก” เป็นแบรนด์ผัก ผลไม้แปรรูป ที่ลูกค้าต่างประเทศรู้จักเป็นอย่างดี เพราะส่งออกไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน
หากเอ่ยชื่อแบรนด์ แบรนด์ผัก ผลไม้แปรรูป “ช้างคู่ลูกโลก” (Twin elephant and earth) ในตลาดต่างประเทศ ลูกค้าต่างประเทศจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะส่งออกไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีตลาดหลักในประเทศจีน ที่ชื่นชอบแบรนด์นี้
“คณานันต์ ตั้งสัมพันธ์” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอราวัณฟูด ผู้ประกอบธุรกิจ ผัก ผักไม้กระป๋องแปรรูป แบรนด์ ช้างคู่ลูกโลก เปิดเผยว่า เข้ามาทำธุรกิจเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ที่เริ่มจากคุณปู่ ต่อมารุ่นสองเป็นคุณพ่อ โดยจะมุ่งใช้นวัตกรรมนำหน้าธุรกิจ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทยมากที่สุด ด้วยการแปรรูปแบบใหม่ๆ ส่งผลให้ผักและผลไม้ไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 4-6 เท่า
สินค้าหลักของบริษัทจะมีผักบรรจุกระป๋อง ผลไม้กระป๋องหลายหลายชนิด อาทิ เงาะกระป๋อง ขนุนกระป๋อง มังคุดกระป๋อง หัวปลีกระป๋อง หน่อไม้กระป๋อง เห็ดเป๋าฮื้อกระป๋อง และกระทิบรรจุกระป๋อง เป็นต้น
ในปีนี้ปี 2558 จะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการคือ เครื่องดื่มน้ำกะทิรสข้าวเหนียวมะม่วง ที่เป็นน้ำกะทิ มีส่วนผสมของมะม่วง และข้าวเหนียวอยู่ในเครื่องดื่ม ถือเป็นเครื่องดื่มแบบใหม่ครั้งแรกในโลก ซึ่งจะนำไปเจาะตลาดประเทศจีน เพราะชาวจีนชื่นชอบข้าวเหนียวมะม่วง และชื่นชอบน้ำกะทิ รวมทั้งสินค้าไม่มีสารกันบูด น้ำกะทิก็ไม่ผสมสารกันบูด ไม่แต่งกลิ่น
หลังจากนั้นจะเปิดตัวสินค้าเครื่องดื่มต่อมาคือ เครื่องดื่มน้ำกะทิรสข้าวเหนียวทุเรียน เพราะชาวจีนชื่นชอบรสชาติข้าวเหนียวทุเรียนของไทยมาก และชาวจีนก็ชอบดื่มน้ำกะทิเช่นกัน รวมทั้งกำลังพัฒนา ขนมไทยกึ่งสำเร็จรูป ที่จะมีส่วนผสมของผลไม้เช่นกัน คาดว่าจะเปิดตัวในปีหน้าเช่นกัน
แผนการเปิดตัวสินค้านั้นจะร่วมกับทำตลาดกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีน ที่มีอยู่ประมาณ 3-4 ราย โดยปัจจุบันสินค้ามีวางจำหน่ายอยู่ในเมืองจีน ใน 4 มณฑล ได้แก่ มณฑลเจ้อเจียง มณฑลเจียงซู เมือง กวางโจว และเมืองฮาร์บิน โดยเป็นจีนฝั่งตะวันออก เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง รวมแล้วมีประชาชนหลายร้อยล้านคน ตลาดจีนจึงเป็นลูกค้าที่สำคัญของบริษัท ที่ได้ส่งออกไปตลาดจีนมานานกว่า 20 ปีแล้ว
แต่การจะได้ตลาดลูกค้าชาวจีนได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องหาพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี เพราะบริษัทต้องใช้เวลาเลือกพันธมิตรนานกว่าจะได้ตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ต่อมาคือ สินค้ามีคุณภาพดี และวัตถุดิบมีมาตรฐาน เลือกใช้ส่วนผสมที่ดีสุด และการมีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและคู่ค้า ทำให้ลูกค้ามั่นใจกับแบรนด์
“การเลือกส่งออกผักและผลไม้กระป๋อง ออกไปต่างประเทศ เนื่องจากตลาดในประเทศไทยมีผลไม้สดรับประทานได้ตลอดปี จึงสนใจตลาดส่งออกที่นำผลไม้มาแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าและเก็บได้นาน” คณานันต์ กล่าว
นอกจากนี้ จะขยายสินค้าออกไปในเมืองใหม่ๆ ของจีนมากขึ้น เพราะตลาดจีนมีขนาดใหญ่ และต้องการสินค้าไทยสูง รวมทั้งจะเข้าไปรุกธุรกิจในอาเซียน โดยสนใจประเทศพม่า เพราะธุรกิจฟู้ด เซอร์วิสและโรงแรม มีการเติบโตที่ดี อีกทั้งบริษัทจะมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมของอาหาร ทั้งร่วมมือกับ สถาบันอาหาร และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เพื่อสร้างสินค้ารูปแบบใหม่ อีกทั้งสินค้ามีจุดเด่น ไม่มีสารกันบูด ไม่ตกแต่งกลิ่น และไม่แต่งรสใด ลูกค้าต่างชาติจึงชื่นชอบมาก
ขณะที่ภาพรวมยอดขายของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 300 ล้านบาท เติบโต 10-15% สัดส่วนส่งออก 95% ในประเทศ 5% โดยมีตลาดส่งออกทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม อังกฤษ สหรัฐ และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น ถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออก ผัก ผลไม้กระป๋อง รายใหญ่ของประเทศ รวมทั้งเลือกใช้ ผัก และผลไม้ไทย มาแปรรูปเท่านั้น เพราะผลไม้ ผักไทย เป็นที่นิยมของลูกค้าต่างชาติ
“คณานันต์ กล่าวต่อว่า จะมุ่งแปรรูปผักและผลไม้ไทยให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงขยายตลาดใหม่ เพราะผลไม้ และผักของประเทศไทย เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทั่วโลกอยู่แล้ว สินค้าไทยมีโอกาสไปได้อีกไกลในระยะยาว
แนวคิดทำธุรกิจ ผัก ผลไม้กระป๋องส่งออกทั่วโลก
-แปรรูป ผัก ผลไม้ไทย ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4-6 เท่า
-สินค้าใช้วัตถุดิบมาตรฐาน คุณภาพดี
-หาคู่ค้าที่ดี และให้ความซื่อสัตย์ลูกค้า
-ผลิตนวัตกรรมใหม่ให้แก่ผัก และผลไม้ไทย


