รับเหมาฯ ปี’58 สดใสซาบซ่า อานิสงส์รัฐทุ่มลงทุน-ต้นทุนลด
การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศ พร้อมขยายการขนส่งและคมนาคมจะเป็นเครื่องจักรตัวหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้ประกาศนโยบายในการลงทุนไว้อย่างชัดเจนว่า ในช่วงปี 2558-2565 จะผลักดันมูลค่าการลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท ครอบคลุมการพัฒนาลงทุนระบบราง น้ำ ถนน อากาศ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อธุรกิจกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศ พร้อมขยายการขนส่งและคมนาคมจะเป็นเครื่องจักรตัวหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้ประกาศนโยบายในการลงทุนไว้อย่างชัดเจนว่า ในช่วงปี 2558-2565 จะผลักดันมูลค่าการลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท ครอบคลุมการพัฒนาลงทุนระบบราง น้ำ ถนน อากาศ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อธุรกิจกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
STEC มองทั้งรัฐ-เอกชนลงทุนหนุนธุรกิจโต
ภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 2558 คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นทั้งในส่วนงานของภาครัฐและเอกชน โดยรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางการลงทุน ทำให้โครงการต่างๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถไฟ ทางหลวง และการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจก่อสร้างโดยรว
ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนก็น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกันเนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้น มีทั้งการลงทุนเองโดยตรงผ่านการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียม และห้างสรรพสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สำหรับ STEC ยังคงมุ่งมั่นในธุรกิจหลัก (Core Business) คืองานรับเหมาก่อสร้างเป็นหลัก ไม่เน้นการลงทุนใดๆ ที่เป็นความเสี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะยังเชื่อว่าตลาดงานก่อสร้างในประเทศยังคงเพียงพอให้ทำธุรกิจด้านนี้ไปได้อีกนาน
ในปี 2557 คาดว่ารายได้ของบริษัทจะใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพราะได้งานใหม่เข้ามา 2.3 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับงานเก่าจากปี 2556 ที่มีอยู่ประมาณ 5.1 หมื่นล้านบาท และเมื่อรับรู้เป็นรายได้ไปส่วนหนึ่งก็จะมีงานเหลือไปในปี 2558 ประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท รวมถึงยังมีงานที่คงค้างและยังไม่ได้เซ็นสัญญาในปี 2557 คือสัญญาเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเขียวประมาณ 6,000 ล้านบาท ทำให้ในปี 2557 งานที่บริษัทได้รับส่วนใหญ่ 70% เป็นงานของภาคเอกชน งานหลักๆ ที่ได้ก็เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ SPP 12 โรง ห้างสรรพสินค้าบลูพอร์ตที่หัวหิน งานถนนทั้งกรมทางหลวง ทางหลวงชนบท และกรมโยธาฯ งานถนนในลาวของ Neda และล่าสุดก็รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เป็นผู้ประมูลราคาต่ำสุด 2 สัญญา “ถือว่าผมพอใจกับผลดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่างานของภาครัฐแทบไม่ได้ออกมาเลย” ทางด้านเป้าหมายในปี 2558 ยังคงเติมงานในมือ (Backlog) โดยตั้งเป้าว่าจะหางานให้ได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากปี 2557 ที่มีงานในมือทั้งสิ้น 5.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งงานใหม่จะเน้นทั้งงานภาครัฐและงานเอกชน โดยจะบริหารสัดส่วนให้อยู่ในระดับ 50:50 ขณะที่รายได้ ณ วันนี้ มีงานที่จะส่งมอบ 2.1 หมื่นล้านบาทเท่ากับปี 2557 แต่ถ้างานปี 2558 เข้ามาเร็วก็จะทำให้รายได้เติบโตขึ้นจากปี 2557 ซึ่งคิดว่าไม่น่ามากเท่าไร แต่ปี 2559 น่าจะเป็นปีที่เราจะเติบโตขึ้นอีกอย่างแน่นอน
น้ำมันลงกดต้นทุนก่อสร้าง
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจในปี 2558 นอกจากรัฐมีการลงทุนแล้ว ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินงานลดลงแน่นอน และหากยังคงลดลงต่อเนื่องจะทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างลดก่อน เช่น พวกวัสดุสังเคราะห์ต่างๆ หรือวัสดุก่อสร้างที่ค่าขนส่งมีผลต่อราคามาก เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งเครื่องจักรต่างๆ จะมีต้นทุนที่ถูกลง แต่ ณ วันนี้ยังเร็วไปที่จะบอกว่าต้นทุนน่าจะถูกลง คงต้องดูสถานการณ์ความผันผวนของราคาน้ำมันให้ชัดเจนอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ว่ารัฐบาลจะยังคงยืนระยะเวลาหรือลดราคาลงได้อีกหรือไม่
ขณะนี้เท่าที่สอบถามดูต้นทุนอาจมีลดลงบ้าง แต่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่ลดลงมา คาดว่าผู้ประกอบการคงรอดูอีกสักช่วงเวลาหนึ่งในการตัดสินใจปรับลดราคาวัสดุลงมา และในการยื่นประมูลงานตอนนี้ก็ยังคงเสนอราคาที่ใช้ฐานราคาเดิมอยู่ คงต้องรอการลดราคาอย่างชัดเจนจากวัตถุดิบก่อน เราถึงจะปรับราคาต้นทุนลงจึงจะมีการปรับลดลงราคาในการประมูลลงมา
ญี่ปุ่นชอบ STEC
สำหรับการออกไปพบปะนักลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือน ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดี นักลงทุนชอบ STEC เพราะแทบไม่มีความเสี่ยงจาก Balance Sheet และความสามารถในการทำกำไรที่ดีที่สุดในธุรกิจเดียวกัน แต่นักลงทุนติงแต่เรื่องความล่าช้าในการดำเนินโครงการของรัฐบาล


