ไทยนครพัฒนาปักธงธุรกิจสุวรรณภูมิ
โดย...ปรียนิจ กุลตั้งเจริญ
โดย...ปรียนิจ กุลตั้งเจริญ
การเข้าไปบุกเบิกทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน ในสมัยที่แต่ละแห่งเพิ่งเปิดประเทศ แตกต่างจากการทำธุรกิจในสมัยนี้มาก ผู้ประกอบการต้องอดทน และฝ่าด่านอุปสรรคมากมาย กว่าจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้
สุภชัย วีระภุชงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนครพัฒนา เล่าว่า บริษัทเริ่มออกไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ที่ตนเรียกว่าสุวรรณภูมิมานาน เริ่มจากกัมพูชาตั้งแต่ปี 2535 หรือประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว โดยส่งยาจากไทยไปจำหน่าย และได้เข้าไปตั้งบริษัท ที.เอ็น.พี เฮลท์แคร์ (กัมพูชา) ซึ่งยุคนั้นกัมพูชาเพิ่งเปิดประเทศใหม่ๆ การเข้าทำธุรกิจต้องสร้างระบบการค้าใหม่ทั้งหมด การเปิดร้านขายยาในกัมพูชายังใช้วิธีการเดินไปตามถนน เมื่อเจอสถานที่ที่เหมาะสมก็ให้เปิดบัญชีกับทางบริษัท ซึ่งบริษัทจะส่งพนักงานขายจากประเทศไทยเข้าไปดำเนินการ
ข้อดีของการทำธุรกิจยุคนั้นคือการแข่งขันต่ำ ยาส่วนใหญ่ที่ใช้ในกัมพูชามาจากเวียดนาม ฝรั่งเศส และยุโรป ขณะที่ยาไทยก็มีการส่งขายผ่านชายแดนเล็กน้อย เมื่อบริษัทเข้าไปเจาะตลาดอย่างจริงจังก็ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากลูกค้าให้ความเชื่อมั่นกับสินค้าไทยมากกว่าสินค้าจากประเทศอื่นอยู่แล้ว
นอกจากยาที่เป็นธุรกิจหลักแล้ว บริษัทยังมีธุรกิจอีกหลากหลายในกัมพูชา ได้แก่ โรงแรม 2 แห่ง คือ โรงแรมโซฟิเทล ที่จังหวัดเสียมราฐ และโรงแรมโซฟิเทลในกรุงพนมเปญ สนามกอล์ฟที่จังหวัดเสียมราฐ ธุรกิจน้ำดื่ม และร่วมกับกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาทำธุรกิจสถานีโทรทัศน์
สำหรับสาเหตุที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชามากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะช่วงแรกที่ถือว่าเป็นช่วงก่อร่างสร้างเมืองใหม่หลังยุคสงคราม กัมพูชาขาดแคลนทุกอย่าง
“เราเข้าไปตั้งแต่ช่วงแรก อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของกัมพูชา รัฐบาลของกัมพูชาสนับสนุนให้เปิดโรงแรม ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่สมัยนั้นคือนักธุรกิจ นักการทูต ทหาร คณะเจรจาการค้าต่างๆ ที่เริ่มหลั่งไหลเข้าไปในกัมพูชา”
ขณะที่ในเวียดนาม บริษัทได้ตั้งบริษัท ไทยนครพัฒนา (เวียดนาม) เป็นโรงงานผลิตยา และบริษัท สยามซุปเปอร์ สตรีม เวียดนาม ผลิตเครื่องดื่ม โดยสาเหตุที่ตัดสินใจสร้างโรงงานที่นั่น เนื่องจากเวียดนามมีประชากรมาก ประกอบกับนโยบายรัฐบาลต้องการให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปตั้งโรงงาน หากยาที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นยาที่เวียดนามผลิตเองได้ การขอใบอนุญาตนำเข้าจะยากมาก ดังนั้นเมื่อยาบริษัทเป็นยาสามัญ เวียดนามผลิตได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจเข้าไปตั้งโรงงาน
ทั้งนี้ เวียดนามก็เหมือนประเทศอื่นในย่านนี้ที่นิยมสินค้าไทย บรรจุภัณฑ์ยาที่ขายในเวียดนามจึงมีภาษาไทยกำกับควบคู่กับภาษาเวียดนาม โดยยาที่ผลิตในเวียดนามส่วนหนึ่งจะส่งไปขายในประเทศลาวบ้าง ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น พม่า และลาว บริษัทได้เปิดบริษัทเทรดดิ้งยาไว้ การลงทุนจึงยังเน้นอยู่ที่กัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งยาที่ขายอยู่ในลาว พม่า และกัมพูชาจะส่งออกไปจากประเทศไทย
สำหรับกลยุทธ์จำหน่ายสินค้าในประเทศเพื่อนบ้าน บริษัทจะใช้สินค้าที่มีมาตรฐานเดียวกับในเมืองไทยทั้งหมด การกำหนดราคาจะใกล้เคียงกันมาก ต่างกันไม่เกิน 5% เนื่องจากมีชายแดนติดกัน สินค้าสามารถไหลไปตามชายแดนได้ หากมีการกำหนดราคาต่างกัน


