จากยายไฮ – ถึงยายสม
ในช่วงเดือน ก.ย. 2557 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวเกี่ยวกับ นางสม งามอยู่ อายุ 82 ปี ชาวบ้าน ต.ทับทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินค่าทนายความและค่าขึ้นศาล จากกองทุนยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้แย่งที่ดินของตน
ในช่วงเดือน ก.ย. 2557 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวเกี่ยวกับ นางสม งามอยู่ อายุ 82 ปี ชาวบ้าน ต.ทับทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินค่าทนายความและค่าขึ้นศาล จากกองทุนยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้แย่งที่ดินของตน
นางสมมีที่ดินอยู่ 24 ไร่ เป็นมรดกตกทอดและครอบครองทำกินต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2521 รัฐบาลได้กำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และได้ออกเอกสารสิทธิให้แก่นางสม ซึ่งเอกสารสิทธิดังกล่าว เมื่อออกให้แล้วไม่อนุญาตให้ทำการซื้อขายที่ดิน หากมีการซื้อขายในขณะที่เอกสารสิทธิยังมีผลอยู่จะเป็นโมฆะ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากนางสมซึ่งมีฐานะยากจนได้ยืมข้าวเปลือกและเงินจากเพื่อนบ้าน แต่ไม่มีเงินชดใช้ เพื่อนบ้านจึงได้เข้ายึดและทำกินในที่นาแปลงดังกล่าว นางสมได้ฟ้องขับไล่และชนะคดี เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินที่ได้มาจากการปฏิรูปที่ดินห้ามจำหน่ายจ่ายโอน ห้ามให้ผู้ใด และห้ามผู้ใดเอามาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวเอาไปเป็นของตนหรือผู้อื่น
หลังจากแพ้คดี เพื่อนบ้านได้บังคับให้นายอิน สามีของนางสม (ซึ่งตอนหลังบวชเป็นพระ ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) เซ็นหนังสือสัญญากู้เงิน และหนังสือขายที่ดินภายหลังได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสิทธิในที่ดินออกเป็น 2 ส่วน ตามสัญญาซื้อขาย ส่วนหนึ่งจำนวน 12 ไร่เป็นของนางสม งามอยู่ และอีก 12 ไร่เป็นของเพื่อนบ้าน
ต่อมาได้มีการฟ้องร้องกันไปมาระหว่างนางสมกับเพื่อนบ้าน ผลที่สุดนางสมกับบุตรชายถูกจำคุก และที่ดินพิพาทถูกแบ่งแยกสิทธิครอบครองออก เป็น 2 ส่วน ตามคำสั่งศาล
ที่ผ่านมา นางสม แม้จะยากจนและมีความรู้น้อย จบแค่ชั้น ป.3 แต่ก็อุตส่าห์ศึกษากฎหมายและต่อสู้คดีด้วยลำพังตัวเอง เพื่อปกป้องที่ดินทำกินของตนเองโดยมิย่อท้อ แม้จะล่วงเลยเวลามาเกือบ 30 ปีแล้วก็ตาม ก็ยังจะต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม เป็นตัวอย่างของการต่อสู้ที่น่ายกย่องอีกคนหนึ่ง
ประเด็นที่น่าสนใจจึงมีว่า หากปรากฏว่าที่ดินแปลงของยายสมจำนวน 24 ไร่ เป็นที่ดินในเขตปฏิรูปและต้องห้ามจำหน่ายจ่ายโอน ห้ามให้ผู้ใด และห้ามผู้ใดเอามาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวเอาไปเป็นของตนหรือผู้อื่น อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 จริง เจ้าหน้าที่จัดการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วน โดยอาศัยระเบียบข้อบังคับหรือตามกฎหมายอะไร ซึ่งเรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นหน้าที่โดยตรงของนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่าย
กรณีของยายสมเป็นการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ได้ที่ดินของตนคืนมา คล้ายกับกรณีของ ยายไฮ ขันจันทา นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องที่ดินทำกินคืนจากกรณีได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนห้วยละห้าที่บ้านโนนตาล จ.อุบลราชธานี ของรัฐบาล ซึ่งเป็นการยืนหยัดต่อสู้อย่างยาวนาน 32 ปี จนรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีมติให้ระบายน้ำออกจากเขื่อนห้วยละห้า และให้ทุบทิ้งและคืนที่ดินให้แก่ยายไฮ พร้อมกับเพื่อนบ้าน 21 ราย และได้รับค่าชดเชยเยียวยาผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนห้วยละห้า ในสมัยรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จำนวนสี่ล้านเก้าแสนบาท จนถูกยกย่องให้กลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของประชาชนคนหนึ่งทางมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มอบปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่ยายไฮ เมื่อปี พ.ศ. 2553
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยเฉพาะนายอำเภอท้องที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งสภาทนายความ น่าจะส่งทนายความที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในกฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และช่วยเหลือยายสมอีกแรงหนึ่ง
ความหวังที่จะได้เห็นความยุติธรรมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย ก็คงจะเกิดเป็นความจริงขึ้นมา


