"โลลิเวอร์" แก้วกินได้เปลี่ยนพลังสร้างสรรค์เป็นมูลค่า
การสร้างความแปลกใหม่ให้กับธุรกิจย่อมเป็นผลดีต่อยอดขาย เพราะผู้คนที่มองหาสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
โดย...ชาลินี ลงกานี
การสร้างความแปลกใหม่ให้กับธุรกิจย่อมเป็นผลดีต่อยอดขาย เพราะผู้คนที่มองหาสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และนั่นคือสิ่งที่เชสซี บริกันที และ เลห์ แอน ทัคเกอร์ สองสาวสุดครีเอทีฟได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นมา
สองสาวพบกันครั้งแรกเมื่อเข้าเรียนที่พาร์สันส์ โรงเรียนสอนการออกแบบในใจกลางมหานครนิวยอร์กอันวุ่นวาย และโรงเรียนแห่งนี้ก็ได้จุดประกายให้ทั้งคู่สร้างแบรนด์ “โลลิแวร์” ไลน์แก้วน้ำที่ย่อยสลายได้ และคุณสมบัติที่โดดเด่นไม่เหมือนใครไปกว่านั้นก็คือเป็นแก้วน้ำสีสันสวยงามสไตล์วินเทจที่กินได้ด้วย!
“โลลิแวร์ ก่อตั้งขึ้นเพราะในฐานะที่เราเป็นนักออกแบบ เราอยากทำอะไรที่สนุก ได้ใช้ไอเดียสุดบรรเจิดออกแบบวัสดุ แต่เราก็มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ว่า โลลิแวร์ จะต้องมาแทนแก้วน้ำพลาสติกที่สุดท้ายจะกลายมาเป็นขยะล้นเมือง” ทัคเกอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์กล่าว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 หลังจากที่จบการศึกษาจากพาร์สันส์ บริกันที และทัคเกอร์ก็เริ่มเข้าประกวดการแข่งขันหลายแห่ง และระหว่างการประกวดสร้างสรรค์พิมพ์ขนมเจลลี่ที่พวกเขาได้คิดค้นแก้วน้ำกินได้ โดยในตอนแรกก็ลองใช้วัสดุหลายอย่าง เช่น เจลาติน แต่สุดท้ายก็ไปลงตัวที่การใช้วุ้น ซึ่งมีส่วนผสมของเจลสาหร่ายที่ไม่มีกลิ่นและรส จากนั้นก็ถึงขั้นตอนในการสรรหาสารพัดรสมาแต่งแต้มความอร่อย
“เจลโล่แวร์” คือชื่อผลิตภัณฑ์ในตอนแรก และเป็นชิ้นงานที่กลายเป็นที่โจษจันกันสนั่นวงการเพราะความแปลกใหม่ ลามไปจนถึงบริษัทวอดก้าชื่อดังอย่าง “แอบโซลูท” ที่ได้ฟังปุ๊บก็เห็นช่องทางนำไปปรับใช้กับธุรกิจตัวเอง จึงได้สั่งซื้อไปทั้งหมด 6 หมื่นแก้วด้วยกัน สำหรับใช้ในคอนเสิร์ตกลางแจ้ง
จุดนี้เองที่สองสาวตระหนักได้ว่างานขำๆ ที่ทำไปเพื่อเพิ่มความสวยหรูให้พอร์ตโฟลิโอสำหรับสมัครงานในอนาคตดูสวยหรูขึ้น ได้กลายมาเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการทำเงินได้มหาศาล จึงได้ตกลงปลงใจเป็นหุ้นส่วนขับเคลื่อนฝันครั้งใหม่ให้กลายเป็นจริง
ผลงานต้นแบบได้กลายเป็นจุดเด่นประจำการแข่งขัน แต่ก็ยังไม่ถือว่าพร้อมประลองในสนามการตลาดจริงๆ ดังนั้น บริกันทีและทัคเกอร์จึงหันมาพัฒนาสินค้า ที่ห้องครัวภายในห้องพักย่านบรูคลิน มีการทดลองทำแก้วหลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นโรสแมรี เลมอนขิง มินต์ แต่สุดท้ายก็ลงตัวที่รสส้ม ซึ่งสามารถเข้ากับเครื่องดื่มได้แทบทุกประเภท ตั้งแต่แชมเปญ วิสกี้ ไปจนถึงซังเกรีย เครื่องดื่มไวน์พันช์ของเมืองกระทิงดุสเปนนั่นเอง
“เราเป็นนักออกแบบที่กลายมาเป็นคนทำขนม และได้เรียนรู้วิธีการเปลี่ยนงานดีไซน์ให้ออกมาเป็นทักษะในครัว” บริกันทีกล่าวหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทดลองกับแก้ววุ้นรสชาติต่างๆ
กระนั้น ทั้งสองเป็นเพียงแค่นักออกแบบ การสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาเป็นรูปธรรมจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุที่ใช้เข้ามาช่วยดูแล จึงได้มีการจ้างนักวิทยาศาสตร์เพื่อทำให้แก้วน้ำมีความเสถียรสามารถเก็บได้นานขึ้น
ในระยะเริ่มแรกของธุรกิจ ทั้งสองเรี่ยไรเงินจากโครงการระดมทุนอย่างคิกสตาร์เตอร์ ซึ่งก็ได้ทุนเริ่มต้นมากกว่าหมื่นเหรียญสหรัฐ และจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับความแก่นแก้วของหญิงสาวมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “โลลิแวร์” ดัดแปลงจากคำว่าโลลิตานั่นเอง ก่อนที่จะลงมือผลิตออกมาขายในตลาดจริงก็ต้องมีการทดลองสินค้ากันก่อน โดยกลุ่มเป้าหมายก็คือบรรดางานปาร์ตี้ นอกจากนี้ยังมีเงินช่วยเหลือจากนักลงทุนผู้ใจบุญอีกกว่า 6 หมื่นเหรียญประกอบกับร้านอาหารฮอตเบรดในย่านฮาร์เลมที่ช่วยจัดหาลูกค้ารายใหญ่ให้ ก็ล้วนแต่ส่งผลให้กิจการโลลิแวร์เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้ กระแสตอบรับของ “โลลิแวร์” นั้นดีมาก หุ้นส่วนทั้งสองกำลังจะตกลงทำสัญญากับผู้ผลิตเพื่อทำแก้วกินได้ออกมาในปริมาณมาก เพราะแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล และวอลท์ ดิสนีย์ก็ต้องการนำผลิตภัณฑ์นี้ไปใช้งาน ซึ่งในปีนี้บริกันทีกับทัคเกอร์ได้ระดมทุนรอบที่สองโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว แต่ราคาสินค้าก็ไม่ได้ถือว่าสูงมาก นั่นคือ 14.95 เหรียญสหรัฐ ต่อ 6 แก้ว หรือตกราวแก้วละ 70 บาท
“เราได้เก็บตัวเตรียมพร้อมมาเป็นเวลานานมาก บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะสยายปีก และลองเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเติบโตแบบที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” บริกันทีทิ้งท้าย


