posttoday

กลุ่มทุนจีน-ญี่ปุ่นรุกหนักอสังหาฯไทย

24 กันยายน 2557

การเข้ามาลงทุนของกลุ่มต่างชาติในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีสัญญาณเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวจะยังมีความวุ่นวายทางการเมือง แต่กลุ่มต่างชาติรายใหญ่ที่สนใจลงทุนระยะยาวในไทยยังคงเดินหน้าต่อ โดยเฉพาะกลุ่มทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาจับมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทย เริ่มจากกลุ่มมิตซุย ฟุโดซัง เรสซิเด็นเชียล บริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ที่เข้ามาร่วมทุนกับกลุ่มอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก ไอดีโอ คิว พระราม 4 มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท

การเข้ามาลงทุนของกลุ่มต่างชาติในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีสัญญาณเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวจะยังมีความวุ่นวายทางการเมือง แต่กลุ่มต่างชาติรายใหญ่ที่สนใจลงทุนระยะยาวในไทยยังคงเดินหน้าต่อ โดยเฉพาะกลุ่มทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาจับมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทย เริ่มจากกลุ่มมิตซุย ฟุโดซัง เรสซิเด็นเชียล บริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ที่เข้ามาร่วมทุนกับกลุ่มอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก ไอดีโอ คิว พระราม 4 มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท

หลังจากโครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดี ปีนี้กลุ่มมิตซุยฯ จึงพร้อมลุยต่อด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มอนันดาฯ อีก 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแอชตัน อโศก และโครงการไอดีโอ คิว สยามราชเทวี มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสองโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว หลังจากการเมืองนิ่ง โดยกลุ่มมิตซุยฯ ยังมีแผนร่วมลงทุนกับกลุ่มอนันดาฯ ต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมติดกับแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก เพื่อใช้ไทยเป็นฐานในการพัฒนารับการเป็นศูนย์กลางอาเซียน

ขณะที่กลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่น ก็เข้ามาจับมือกับกลุ่มเอพีตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประเดิม 3 คอนโดมิเนียมแรก ได้แก่ โครงการริทึ่ม สุขุมวิท 3638 โครงการรึทึ่ม อโศก 2 และโครงการแอสปาย รัชดาวงศ์สว่าง มูลค่ารวมกัน 7,000 ล้านบาท โดยหลังจากมียอดขายเฉลี่ยทั้ง 3 โครงการ ไม่ต่ำกว่า 60% ตามเป้าหมาย ก็พร้อมลุยต่อ โดยล่าสุดได้ผุดคอนโดมิเนียมแอสปาย สาทรท่าพระ ใกล้รถไฟฟ้าสถานีตลาดพลู ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทำเลที่ขยับออกมารอบนอกเมือง

โชจิโร่ โคจิม่า กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย กล่าวว่า นับจากนี้บริษัทจะร่วมทุนกับเอพีพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมประมาณปีละ 3-4 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท/ปี โดยมองว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศแถบอาเซียนที่มีศักยภาพ และการร่วมทุนกับเอพีจะเป็นช่องทางสำคัญในการศึกษาตลาดในไทย เพื่อหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงาน ค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจที่กลุ่มมิตซูบิชิฯ มีความเชี่ยวชาญมากในญี่ปุ่น

“เรามองหาโอกาสตลอดเวลา หากมีโอกาสที่ดีในการลงทุน หรือเจอพันธมิตรที่พร้อมร่วมทุนในธุรกิจเชิงพาณิชย์ก็พร้อมลงทุนทันที โดยเฉพาะกลุ่มอาคารสำนักงานที่กลุ่มมิตซูบิชิฯ มีความเชี่ยวชาญมาก ส่วนการลงทุนนอกจากไทยแล้ว ยังมีเจรจาร่วมทุนในสิงคโปร์และเวียดนาม เพราะมองเห็นศักยภาพของตลาดอาเซียนที่ยังมีโอกาสในการขยายตัวสูง” โคจิม่า กล่าว

ด้านการลงทุนในไทย มองว่า กรุงเทพฯ เป็นตลาดที่น่าลงทุนมากที่สุด เพราะเป็นเมืองที่กำลังขยายตัวทางเศรษฐกิจ และมีแผนการลงทุนรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายต่างๆ อย่างชัดเจน ซึ่งรถไฟฟ้ามีส่วนสำคัญมากที่จะทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยรอบสถานีใหม่ โดยแนวโน้มของการพัฒนาเมืองที่ขยายตัวออกไป จะเริ่มมีกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน หากมองกรุงโตเกียวเป็นโมเดลแล้ว จะเห็นว่าการที่กรุงโตเกียวมีระบบรถไฟฟ้าที่ซับซ้อน ทำให้สถานีที่ใกล้เมืองมากที่สุดจะมีราคาแพงที่สุด ส่วนโครงการที่ใกล้กับสถานีที่อาจจะเดินทางเข้าเมืองอ้อมเล็กน้อย จะมีราคาที่ถูกลง

นอกจากนี้ รูปแบบความต้องการก็จะแตกต่างกันด้วย โดยในโตเกียว หากเป็นทำเลใกล้สถานีในเมือง ความต้องการห้องสตูดิโอจะสูงมาก เพราะเป็นคนทำงาน ครอบครัวอยู่อาศัย แต่ถ้าขยับออกไปไกลเมือง ห้องชุด 3 ห้องนอนจะขายดีมาก โดยแม้ว่าวันนี้ระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ จะยังไม่ซับซ้อนเมืองกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แต่การขยายเส้นทางใหม่ๆ ออกไป ก็ทำให้เห็นภาพความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคตได้ โดยเชื่อว่าคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ จะยังไปได้จากความต้องการของผู้อยู่จริง

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาแนวโน้มราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ยอมรับว่าขยับขึ้นแรงมาก จนน่ากังวลว่า หากราคาขยับขึ้นไปโดยขาดปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน ก็มีความเสี่ยง แต่เทรนด์นี้เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า สำหรับโครงการแอสปาย สาทรท่าพระ บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ อาคารสูง 30 ชั้น จำนวน 219 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 23.546 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 1.98 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท นับเป็นโครงการที่ 4 ของการร่วมทุน ซึ่งครั้งนี้ได้ทำงานร่วมกันมากขึ้น โดยกลุ่มมิตซูบิชิฯ ได้ส่งตัวแทน 1 คนในการเข้ามานั่งทำงานร่วมกันตั้งแต่กระบวนการวิเคราะห์ที่ดิน ซื้อที่ดิน ออกแบบฟังก์ชันต่างๆ ไปจนถึงถึงนำเทคโนโลยีสำเร็จรูปมาใช้ สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับตลาดในไทยของกลุ่มมิตซูบิชิฯ

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในโครงการที่จะออกในงานอีเวนท์ใหญ่ AP SPACE ODYSSEY ที่ลานพาร์คพารากอน ระหว่างวันที่ 22 – 26 ต.ค.? 2557 และคาดว่าจะมียอดขายจนถึงสิ้นปีประมาณ 40% จากปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแสดงความสนใจผ่านเว็บไซต์แล้วประมาณ 2,000 ราย ซึ่งบริษัทประเมินว่าคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าจะยังได้รับความสนใจจากตลาดต่อเนื่อง

นอกจากการเข้ามาลงทุนในลักษณะลงทุนพัฒนาโครงการแล้ว ปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนรายย่อยชาวญี่ปุ่นยังสนใจเข้ามาลงทุนซื้อห้องชุดในไทยมากขึ้นด้วย เช่นเดียวกับกลุ่มทุนจีนที่เริ่มเข้ามาในตลาดไทย ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต อย่างน่าจับตา โดยในส่วนของกรุงเทพฯ กลุ่มเทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่พัฒนาโครงการทีซี กรีน พระราม 9 เป็นกลุ่มที่ถูกจับตามองมากที่สุด เพราะนอกจากจะพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ จำนวนห้องชุดมากถึง 1,600 ยูนิตแล้ว ยังมีกระแสข่าวว่าทุนกลุ่มนี้จะลงทุนในกรุงเทพฯ ต่อเนื่อง

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการกลับมาของกลุ่มทุนต่างชาติที่มีต่ออสังหาริมทรัพย์ไทย นับจากนี้มีสัญญาณแล้วว่ากลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนและญี่ปุ่นกลุ่มใหม่ๆ ที่พร้อมบุกหนักทั้งตลาดที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย