“โปร นิติ" ดาวรุ่งรายย่อยพม่าธุรกิจท่องเที่ยวต้องคิดไกล
“โปร นิติ คำว่า โปร มาจาก ‘โปรเฟสชั่นนัล’ ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า มืออาชีพ ส่วนคำว่า ‘นิติ’ มาจากคำภาษาบาลี ที่แปลว่า จริยธรรม” มินทันฮทุท
โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา
“โปร นิติ คำว่า โปร มาจาก ‘โปรเฟสชั่นนัล’ ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า มืออาชีพ ส่วนคำว่า ‘นิติ’ มาจากคำภาษาบาลี ที่แปลว่า จริยธรรม” มินทันฮทุท ผู้ก่อตั้งและนักธุรกิจเจ้าของบริษัทนำเที่ยว วัย 24 ปี ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า อธิบายถึงที่มาของชื่อบริษัทด้วยใบหน้าภาคภูมิและยิ้มแย้ม
ผู้ประกอบการหนุ่มไฟแรงรายนี้ เป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของพม่าที่หาทางสร้างเนื้อสร้างตัวภายในบ้านเกิดหลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาบัตร และโอกาสสำคัญที่เริ่มมีแววสดใสในดินแดนแห่งนี้ก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ภายหลังจากปิดประเทศจากโลกภายนอกมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ พม่าก็เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญหลังรัฐบาลทหารเปิดทางปฏิรูปประชาธิปไตย และเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติอีกครั้งในปี 2011
ด้วยความเป็นประเทศที่ร่ำรวยประวัติศาสตร์ ซึ่งยังคงได้รับการอนุรักษ์สืบทอดมาอย่างยาวนาน เต็มไปด้วยวัดวาอารามโบราณหลายร้อยแห่ง ชายหาดอันบริสุทธิ์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก และสภาพเมืองชนบทที่ปราศจากจริตและการปรุงแต่ง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้พม่ากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าค้นหาสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
สถานีโทรทัศน์บีบีซีแห่งอังกฤษรายงานอ้างข้อมูลจากสมาคมการท่องเที่ยวโลก ระบุว่า เพียงปีเดียวหลังจากเปิดประเทศคือในปี 2012 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนพม่าสูงถึง 1 ล้านคน ขณะที่กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวของพม่ารายงานว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า หรือมากกว่า 50% ในปี 2013 ที่ผ่านมา
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้มินทันฮทุทไม่ลังเลที่จะเปิดบริษัทนำเที่ยวในย่างกุ้งเมื่อปีที่แล้ว ด้วยเงินทุนที่เจ้าตัวเก็บหอมรอมริบระหว่างเรียนหนังสือสาขาวิชาเคมี โดยขณะนั้นมินทันฮทุทได้งานเป็นเด็กยกกระเป๋าของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองย่างกุ้ง ซึ่งนับเป็นประสบการณ์สำคัญที่ทำให้เจ้าตัวได้เรียนรู้และสัมผัสก้าวแรกของธุรกิจด้านการท่องเที่ยว
หลังจากเรียนจบ มินทันฮทุทได้งานเป็นผู้ช่วยของบริษัทนำเที่ยวแห่งหนึ่ง สถานที่ที่เจ้าตัวได้ขัดเกลาสั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจนำเที่ยวแบบเต็มตัว
แน่นอนว่า การจะเปิดธุรกิจอย่างเป็นทางการไม่ใช่ว่าอยากจะทำก็ทำได้เลย โดยมินทันฮทุทอธิบายว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการปูรากฐานบริษัทให้แข็งแกร่งด้วยการจัดการจดทะเบียนและเข้าร่วมการทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตนำเที่ยวจากรัฐบาล โดยมีค่าใช้จ่ายในการสอบรวมทั้งหมดราว 200 เหรียญสหรัฐ และใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 เดือน
“ผมเรียนรู้มาว่าถ้าจะทำธุรกิจอย่างราบรื่นก็ต้องทำให้ถูกกฎหมาย และผมจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาต” ผู้ประกอบการหนุ่มกล่าว ก่อนแจกแจงเพิ่มเติมว่า ขั้นตอนต่อไปถือเป็นความท้าทายยิ่งกว่า นั่นคือการทำให้บริษัทเป็นที่รู้จัก ซึ่งในขั้นตอนนี้มินทันฮทุทเล็งเห็นว่าอินเทอร์เน็ตถือเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างมาก
กระนั้นสำหรับประเทศที่โครงสร้างการสื่อสารโทรคมนาคมยังอ่อนด้อย การเรียนรู้ระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อนำมาใช้งานใช้ประโยชน์อย่างคล่องแคล่วจึงถือเป็นงานหิน โดยมินทันฮทุทใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันในช่วงเปิดธุรกิจหมดไปกับการนั่งอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ เพื่อศึกษาเน็ต และเพื่อโปรโมทบริษัท
แต่แทนที่จะโปรโมทแบบตรงไปตรงมา มินทันฮทุทกลับเลือกที่จะใช้แนวทางอ้อม ด้วยการรับเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำด้านการท่องเที่ยวในพม่าแก่ชาวต่างชาติตามเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้ทำให้นักธุรกิจหนุ่มนำเที่ยวชาวพม่ารายนี้ได้ลูกค้าต่างชาติเป็นคนแรก และมีทยอยมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย ขณะที่ความประทับใจจากผู้ใช้บริการยังได้รับการบอกต่อจนบริษัทนำเที่ยวของมินทันฮทุทติดอันดับยอดเยี่ยมในเว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างทริปแอดไวเซอร์
ทั้งนี้ แม้จะยังมีความท้าทายอยู่มาก เช่น การเมือง ความไม่สงบในบางพื้นที่ สาธารณูปโภคที่ยังอ่อนด้อย และต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มแพงขึ้น แต่มินทันฮทุทมั่นใจว่าภาคการท่องเที่ยวของพม่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังสามารถเดินหน้าไปได้อีกไกล
“คนส่วนใหญ่มักคิดแผนธุรกิจท่องเที่ยวในระยะสั้นๆ แต่ความจริงแล้วเราต้องคิดให้ไกลกว่านั้น ดูว่าอีกหลายปีต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนระยะยาว และลงมือทำอย่างจริงจัง” มินทันฮทุท สรุป


