ศุภชัยมั่นใจเศรษฐกิจไทยปี58โตไม่ต่ำกว่า5%
"ศุภชัย"มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 58 โตไม่ต่ำกว่า 5% ชี้ปีนี้ปรับพื้นฐาน แนะรัฐบาลใหม่เร่งพัฒนาคน โครงสร้างพื้นฐาน ทำกฏหมายให้เข้มแข็ง
"ศุภชัย"มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 58 โตไม่ต่ำกว่า 5% ชี้ปีนี้ปรับพื้นฐาน แนะรัฐบาลใหม่เร่งพัฒนาคน โครงสร้างพื้นฐาน ทำกฏหมายให้เข้มแข็ง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) และเลขาธิการที่ประชุมว่าด้วยการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (อังค์ถัด) เปิดเผยภายหลังปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจยุคใหม่สู่การค้าที่ยั่งยืน” ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ครบรอบ 94 ปี ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากเม็ดเงินการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชน ที่เริ่มลงทุนในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ จะเห็นผลชัดเจนในปีหน้า ส่วนปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวก ได้คงไม่ได้ขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
"ปีนี้คงหวังให้เศรษฐกิจขยายตัวมากอย่างที่คิดไว้ยาก เพราะการลงทุนของภาครัฐเพิ่งจะเกิดการลงทุนในไตรมา 3 ซึ่งล่าช้ามาก ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังทรงตัว การส่งออกคงขยายตัวไม่มากนัก"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเร่งดำเนินการหลังจากที่ได้รัฐบาลใหม่ในเร็วๆนี้ มองว่ามี 4 ประเด็นสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ การพัฒนาคน โดยเพิ่มทักษะด้านวิชาชีพ เพราะแรงงานยังมีมาตรฐานต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ที่ยังด้อยกว่ามาก ทำให้คนไทยไม่พัฒนาเท่าที่ควร รวมถึงต้องยกระดับนักศึกษาอาชีวะให้สูงขึ้น เพื่อดึงดูดให้มีคนเข้ามาเรียนมากๆ โดยต้องยกระดับศักดิ์ศรี รายได้
พร้อมกันนี้ ยังต้องเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของไทย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในด้านเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่ในด้านภูมิศาสตร์เหมือนอย่างปัจจุบัน เช่น การเปิดด่านตามแนวชายแดน อาจเปิดตลอด 20 ชั่วโมง หรือมีเวลาเปิดด่านให้ยายนานขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจตามแนวชายแดนเติบโตได้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาสถาบันด้านกฎหมาย ที่จะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาลมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องเร่งการผลักดันให้อาเซียนสามารถเจรจาจัดทำข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน และคู่เจรจาทั้ง 6 ประเทศ (อาร์เซพ) ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะจะทำให้เศรษฐกิจอาเซียน และอีก 6 ประเทศขยายตัวได้มากขึ้น และเชื่อว่าจะได้ประโยชน์กว่าการเข้าร่วมความตกลงเจรจาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หรือทีพีพี ที่สหรัฐฯพยายามจะผลักดัน
สำหรับตัวเลขการส่งออกไทยในปีนี้ มองว่ากระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่ด้วยตัวเลขของเศรษฐกิจโลกไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เติบโตในระดับต่ำ ซึ่งถือว่ายังไม่ฟื้นจากช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อียู ญี่ปุ่น ที่รวมกันมีสัดส่วนต่อการส่งออกไทย 30% ยังคงมีปัญหาไม่ฟื้นตัว ดังนั้นไทยควรเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังอาเซียน และจีน ส่วนตลาดอียูที่เริ่มมีปัญหาอีกครั้ง เชื่อว่าปีนี้จะเติบโตไม่ถึง 1% และคงอย่างเป็นลักษณะนี้อีกนาน ไทยควรใช้โอกาสดังกล่าวขยายการลงทุนเข้าไปซื้อกิจการในอียู นอกเหนือจากการทำการค้าเพียงอย่างเดียว
นายศุภชัย กล่าวว่า นับจากนี้การค้าโลกจะทำได้ยากขึ้น เพราะกฎระเบียบ และข้อจำกัดทางการค้า และการลงทุน มีมากขึ้น ทำให้การค้า และการลงทุนแคบลงมาก ซึ่งจากข้อมูลที่ทำการสำรวจร่วมกันระหว่างอังค์ถัด, ดับบลิวทีโอ และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) พบว่า กฎข้อบังคับการค้า การลงทุนที่ประเทศต่างๆ นำออกมาใช้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2550 พบมาตรการจำกัดการลงทุน และการค้า มีเพียง 3% เท่านั้น แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 4% หรือประมาณ 970 มาตรการ
“อย่างสหรัฐฯ ที่เคยบอกคนอื่นว่า ต้องทำการค้าเสรี และลดข้อจำกัดต่างๆ ที่ขัดขวางการค้าเสรี แต่วันดีคืนดี ประธานาธิบดีก็ลุกขึ้นมาประกาศนโยบาย “บาย อเมริกา” ซึ่งถือเป็นการจัดการค้าของประเทศอื่นๆ ดังนั้น ดับบลิวทีโอ ต้องเข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบกฎ และระเบียบต่างๆ ที่หลายประเทศนำออกมาใช้กีดกัน”


