การคิดอัตราทดกรณีของออปชั่น

สินค้าใน TFEX ทั้งฟิวเจอร์สและออปชั่นมีพลังในการสร้างกำไรในระดับที่สูงกว่าการลงทุนในสินค้าอ้างอิงโดยตรง อันเนื่องมาจากใช้เงินลงทุนน้อยกว่าทำให้มีอัตราทดในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การซื้อขายออปชั่นต้องอ้างอิงจากราคาพรีเมียม ซึ่งเป็นตัวสะท้อนมูลค่าของออปชั่นนั้นๆ ซึ่งค่าพรีเมียมของออปชั่นมีปัจจัยกำหนดค่าอยู่หลายตัวแปร ทำให้การคำนวณอัตราทดจึงมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ในครั้งนี้ คอลัมน์นัดพบ TFEX จึงขอนำเสนอรายละเอีดยการคำนวณอัตราทดของออปชั่น TFEX เพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทำความเข้าใจกันนะครับ

อัตราทดเป็นตัวสะท้อนว่าเมื่อสินค้าอ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลงไป 1% แล้วอัตราการทำกำไรในฟิวเจอร์สหรือออปชั่นที่อ้างอิงสินค้าดังกล่าวจะเป็นเท่าไรเมื่อเทียบกับขนาดของเงินทุนที่ใช้ในการซื้อขาย ซึ่งก่อนหน้านี้ คอลัมน์นัดพบฯ ได้เคยยกตัวอย่างของการคิดอัตราทดของฟิวเจอร์สที่คิดจากสัดส่วนของมูลค่าสัญญาต่อเงินหลักประกัน เช่น SET50 Index Futures ที่ราคา 1,020 จุด ที่ตัวคูณจุดละ 200 บาท และหลักประกันขั้นต้นที่ 11,400 บาท/สัญญา ทำให้อัตราทดจะมีระดับประมาณ 17.9 เท่า (1,020 * 200 / 11,400) ซึ่งสะท้อนว่าเมื่อราคาดัชนีอ้างอิง SET50 Index เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นประมาณ 1% ก็จะส่งผลให้สามารถทำกำไรจากฟิวเจอร์สบน SET50 Index ได้ถึง 17.9% ตัวอย่างเช่น ราคา SET50 Index Futures ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1,020 จุด เป็น 1,030.2 จุด ซึ่งคิดเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลง 1% เช่นกัน ก็จะสามารถสร้างกำไรได้เท่ากับ 2,040 บาท ([1,030.21,020] * 200) หรือคิดเป็น 17.9% จากเงินที่จ่ายลงทุนเป็นหลักประกันการซื้อขายที่ 11,400 บาท

สำหรับอัตราทดของออปชั่นก็ยังใช้หลักการเดิมที่พิจารณาสัดส่วนกำไรต่อเงินลงทุนเมื่อราคาสินค้าอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไป 1% แต่เนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาออปชั่นหรือพรีเมียมมีจำนวนมากกว่าปัจจัยที่กำหนดราคาฟิวเจอร์ส กล่าวคือ นอกจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าอ้างอิงจะกระทบกับค่าพรีเมียมแล้ว ยังมีตัวแปรด้านอื่นๆ เช่น ราคาใช้สิทธิ อายุคงเหลือ และประเภทของออปชั่น เป็นต้น ดังนั้นการหาอัตราทดของออปชั่นจึงมีรายละเอียดเพิ่มเติมที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เข้ามารวมด้วย

โดยในทางปฏิบัติผู้ลงทุนสามารถใช้ค่าเดลต้า (Delta) ซึ่งเป็นตัวแปรที่ชี้ระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาพรีเมียมของออปชั่นเมื่อราคาสินค้าอ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 หน่วย อย่างเช่น S50U14C1050 ซึ่งเป็นออปชั่นประเภทคอลที่ครบอายุในเดือน ก.ย. และผู้ถือออปชั่นนี้จะมีสิทธิซื้อดัชนี SET50 ได้ที่ 1,050 จุด หากออปชั่นนี้มีค่าพรีเมียมเท่า 5.2 จุด และมีค่าเดลต้าเท่ากับ 0.45 หมายความว่าหากดัชนี SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 1 จุด จะทำให้พรีเมียมของ S50U14C1050 เพิ่มขึ้นอีก 0.45 จุด อยู่ที่ระดับ 5.65 จุด นั้นเอง

ดังนั้น อัตราทดของออปชั่นจึงนำค่าเดลต้าเข้ามารวมคำนวณกับมูลค่าของสัญญา (คิดจากดัชนี SET50 คูณด้วยตัวคูณสัญญาที่ 200) และต้นทุนของออปชั่น (ซึ่งเท่ากับค่าพรีเมียมที่คูณด้วยตัวคูณที่ 200) อัตราทดของออปชั่นจึงเท่ากับ ค่าเดลต้า * ดัชนี SET50 / ค่าพรีเมียมนั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้น อัตราทดของ S50U14C1050 จึงมีค่าเท่ากับ 88.3 เท่า (0.45 * 1,020 / 5.2) โดยหากดัชนีมีการปรับตัวขึ้นเพียง 1 จุด จะทำให้ผู้ที่ลงทุนใน SET50 Index ได้ผลตอบแทนประมาณ 0.098% (=1/1,020 *100) ในขณะที่ค่าพรีเมียมของคอลออปชั่นปรับเพิ่มขึ้นตามค่าเดลต้าและได้ผลตอบแทนจากการซื้อคอลออปชั่น เท่ากับ 8.65% ( = 0.45 / 5.2 *100) จากเงินลงทุน

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าอัตราทดของออปชั่นมีพลังในการสร้างกำไรให้กับผู้ลงทุนได้ถึง 8% ในวันที่ดัชนีอ้างอิงปรับขึ้นเพียง 1 จุดเท่านั้น แต่เนื่องจากในการคำนวณหาค่าเดลต้าผู้ลงทุนต้องกำหนดตัวแปรต่างๆ เช่น ระดับความผันผวนของสินค้าอ้างอิงและระดับสินค้าอ้างอิง เป็นต้น ซึ่งหากความผันผวนเปลี่ยนแปลงหรือราคาสินค้าอ้างอิงปรับเปลี่ยนไป ค่าเดลต้าก็จะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ออปชั่นยังมีทั้งประเภทสิทธิซื้อหรือคอลออปชั่นและสิทธิขายหรือพุทออปชั่น ซึ่งค่าเดลต้าที่ได้ก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้ที่สนใจจะใช้สินค้านี้ในการเพิ่มพลังการลงทุนควรศึกษารายละเอียดของค่าเดลต้าของออปชั่น รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อพรีเมียมของออปชั่น โดยสามารถสอบถามโบรกเกอร์สมาชิก TFEX หรือดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ www.TFEX.co.th กันก่อนเข้ามาซื้อขายนะครับ