posttoday

เปลี่ยนเม่าเป็นเหาฉลาม

22 กรกฎาคม 2557

เวลาผมเดินสายสัมมนาเรื่องการลงทุนในงานต่างๆ มักจะมีคนมาถามผมเสมอว่า “ที่คุณแพทสอน เรื่องการเล่นหุ้นมันดูง่ายมากเลย ยิ่งไปอ่านหนังสือ เช่น ออมในหุ้นมันยิ่งโคตรง่าย แล้วทำไม ทุกคนไม่รวยล่ะ?”

เวลาผมเดินสายสัมมนาเรื่องการลงทุนในงานต่างๆ มักจะมีคนมาถามผมเสมอว่า “ที่คุณแพทสอน เรื่องการเล่นหุ้นมันดูง่ายมากเลย ยิ่งไปอ่านหนังสือ เช่น ออมในหุ้นมันยิ่งโคตรง่าย แล้วทำไม ทุกคนไม่รวยล่ะ?”

คำถามแบบนี้ ตอบได้ยาวจริงๆ เริ่มตั้งแต่คุณทราบก่อนไหมว่า สถิติของคนที่เล่นหุ้น 80% เจ๊งเสมอ ไม่ได้เกี่ยวว่าในตลาดจะมีคนมีความรู้มากเท่าไหร่ก็ตาม เอาอย่างตลาดในต่างประเทศ เช่น สหรัฐ ที่โดยค่าเฉลี่ยเขามีการศึกษาที่สูงกว่า แต่คุณทราบไหมว่าสถิติของคนที่สามารถเอาชนะและทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ก็มีเพียง 20% อยู่ดี

ถ้าจะพูดถึงสถิติที่น่าสนใจกว่านั้นคือ คนส่วนใหญ่ที่ขาดทุนจากการเล่นหุ้นมักจะเป็นคนที่มีความรู้ดีในหุ้น เอาเป็นว่ายิ่งความรู้สูง ยิ่งเอาตัวไม่รอด“คุณลองคิดซิว่าทำไมเป็นเช่นนั้น”

เอาล่ะ ขอเฉลยปัญหาเส้นผมบังภูเขา ...สาเหตุที่คนมีความรู้ก็ยังขาดทุนอยู่ดี เพราะขาดประสบการณ์และมองโลกสวยเกินไป ผมเห็นบางคนมองตลาดเป็นเครื่อง ATM แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นวังวนคือ เข้าตลาดมากำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่สุดท้ายเสียหนักๆ

สิ่งสำคัญในตลาดหุ้นผมว่าคือ “ประสบการณ์+สติ” เรื่องประสบการณ์ผมบอกได้เลยว่า ยิ่งเราอยู่ในตลาดนานขึ้นแค่ไหน เรายิ่งเข้าใจตลาด เข้าใจคนอื่น และสุดท้ายวิธีการลงทุนจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ

หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นหน้าจอเทรดของเซียนหุ้น หรือเศรษฐีตัวจริงตลาดหุ้น ใช่!! ผมพูดแค่นี้หลายคนจินตนาการเห็นคอมพิวเตอร์ที่มีหลายหน้าจอเป็น Trading Terminal ที่แม้แต่ Bloomberg หรือ Reuters ยังต้องเรียกพี่ ...ครับ!! จริงๆ แล้วคนที่ Port ใหญ่จริงๆ เขาแทบไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเลย ยิ่งเงินมาก ยิ่งไม่ต้องเฝ้า เพราะเขารู้ว่าหุ้นขึ้นลงแต่ละรอบมันขึ้นได้มากน้อยเท่าไหร่

ที่เล่ามาคือผมได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับนักลงทุนหลากหลายประเภท แต่ประเภทที่โดนใจผมมากที่สุดคือ “เจ้า”

คำว่า “เจ้า” อาจจะฟังดูแรงและในมุมของตลาด เขามักจะรับกับคำว่า “เจ้า” ไม่ได้ แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า “เจ้า” มีในทุกตลาดมากน้อยขึ้นกับเวลา แต่ที่บอกว่าไม่มีเจ้าอันนั้นผมว่า เรากำลังปิดหูปิดตาตัวเอง

ปี 2014 ผมในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนของหลักทรัพย์บัวหลวง ได้โจทย์ที่ค่อนข้างท้าทายจาก MD ของบัวหลวงว่า หลังจากปี 2013 ตลาดหุ้นซบเซามากๆ และหุ้นส่วนใหญ่ที่รายย่อยเล่นก็ราคาทิ้งลงเกินครึ่ง ดังนั้นภารกิจที่เราต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ เดินสายเปลี่ยน Mindset การลงทุนให้กับลูกค้า

โครงการที่เราคลอดออกมา จึงมีชื่อแปลกๆ ว่า “เปลี่ยนเม่าเป็นเหาฉลาม” คำว่า “เม่า” ทุกคนรู้อยู่แล้ว ก็คือคนส่วนใหญ่ในตลาด ถ้าจะอธิบายให้ตรงตัวก็คือ คนส่วนใหญ่ที่กระโจนเข้าสู่ตลาดโดยขาดความรู้ สุดท้ายคนเหล่านี้แหละ ที่เจ๊งตลอด กลายเป็นนักบริจาคจำเป็นของตลาด ประมาณว่าเข้าทีไรก็เสียเงิน ติดหุ้น ติดดอยมันได้ทุกรอบ

จริงๆ คนเหล่านี้ผมพยายามเตือนเขาตลอดนะว่า “อย่าซื้อหุ้นข่าวดี” แต่พอเอาเข้าจริง คุณเชื่อไหมว่า คนแบบนี้ก็มักซื้อข่าวดี ซึ่งแทบจะการันตีเลยว่า ซื้อแพงทุกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นคือ คนเหล่านี้ไม่รู้จักการ Cut Loss แปลว่า คนเหล่านี้เล่นหุ้นโดยไม่สามารถจำกัดความเสี่ยง สุดท้ายก็มีผลลัพธ์แบบเดิมคือ ซื้อแพงข่าวดี ไปขายถูกข่าวร้าย เจ๊งมันทุกๆ รอบ แต่ไม่เคยเปลี่ยน ถึงวันนี้คนเหล่านี้ก็ยังคงมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ก็รอซื้อหุ้นแพง แล้วติดดอย

โอเคนั่นมัน “แมลงเม่า” ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ ฉลาม

ถ้าเทียบฉลามก็มองง่ายๆ ว่า คือ “เจ้ามือ” ข้อสังเกตง่ายๆ คือ เงินเยอะ มี Inside และมีความเข้าใจ แมลงเม่าคิดง่ายๆ นะ ทุกครั้งที่รายย่อย กระโจนเข้าซื้อหุ้นในข่าวดี คนเหล่านี้ก็มักจะตั้งโต๊ะรอขายให้แมลงเม่า

ในทางกลับกัน ในข่าวร้าย หรือไม่มีข่าว คนเหล่านี้ก็จะทยอยซื้อหุ้นคืนจากรายย่อยในราคาที่ถูก

เอาว่า ถ้าให้ผมเลือกผมไม่ขอเป็นทั้งเม่าและไม่ขอเป็นทั้งฉลาม เพราะมีโอกาสซวยหนักได้ง่ายๆ สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้รายย่อยเป็นคือ “เป็นเหาฉลาม”

อยากรู้ว่าการเป็นเหาฉลามเป็นอย่างไร เบื้องต้นลองวิเคราะห์จุดเข้าจุดออกของเจ้ามือพอจับทางได้ไม่ยากครับ!! เมื่อเข้าใจทิศทางการเดินของฉลามก็จัดตามไป และระวังรักษาตัวเองให้ดี โดยมีวินัยและมี Stop Loss ที่ชัดเจน

ประมาณนี้ รวยได้แน่ จัดไปครับ!!

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68