posttoday

เครื่องดื่มพลิกจุดขายแตกเซ็กเมนต์ย่อยดันยอด

15 กรกฎาคม 2557

ตลาดเครื่องดื่มเมืองไทย ถึงจุดที่ต้องแตกเซ็กเมนต์แยกย่อย ลงลึกถึงระดับแบ่งแยกตามเพศของผู้ดื่ม เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคซับซ้อน และต้องการสินค้าที่มีความแตกต่างกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย รวมทั้งอาจลงลึกไปถึงช่วงของอายุที่ไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป ซึ่งหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ คือ ตลาดเครื่องดื่มโลว์แคลอรี

ตลาดเครื่องดื่มเมืองไทย ถึงจุดที่ต้องแตกเซ็กเมนต์แยกย่อย ลงลึกถึงระดับแบ่งแยกตามเพศของผู้ดื่ม เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคซับซ้อน และต้องการสินค้าที่มีความแตกต่างกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย รวมทั้งอาจลงลึกไปถึงช่วงของอายุที่ไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป ซึ่งหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ คือ ตลาดเครื่องดื่มโลว์แคลอรี

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชาเขียวพร้อมดื่มอิชิตัน เปิดเผยว่า การแตกเซ็กเมนต์ย่อยในตลาดเครื่องดื่มของไทย โดยเฉพาะการแบ่งเพศเริ่มจากเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ แมนซัม เป็นผู้สร้างตลาด เช่นเดียวกับอิชิตันที่วางแผน 2-3 ปี จะสร้างเซ็กเมนต์ใหม่ๆ ในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มเช่นกัน เพื่อสร้างโอกาสการดื่มทุกช่วงโอกาส และเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ผลักดันให้ตลาดเติบโตเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนาชาเขียวพร้อมดื่ม สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย แต่ขึ้นอยู่กับการปรับทัศนคติการดื่มชาคนไทย จากการดื่มเพื่อความสดชื่นมาสู่ดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งต่างจากตลาดชาเขียวไต้หวันและญี่ปุ่น ที่มีเซ็กเมนต์ใหม่ๆ ทั้งการดื่มสำหรับกลางวันและกลางคืน หรือแบ่งตามเพศ ขณะที่ตลาดชาเขียวในไทยมีเพียงรสชาติใหม่เท่านั้น

ขณะเดียวกัน บริษัทจะเดินหน้าสร้างเซ็กเมนต์ชาเขียวโลว์แคลอรีหรือมีแคลอรี 0% จากปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาด 400 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หลังจากบริษัทเปิดตัว อิชิตัน ซีเล็คเต็ด สูตรหวานน้อย และปราศจากน้ำตาลพบว่าผลักดันให้ตลาดเติบโตสูงถึง 95% หรือเพิ่มจาก 115 ล้านบาท เป็น 224 ล้านบาท

“เซ็กเมนต์เครื่องดื่มโลว์แคลอรี่ ขณะนี้ตลาดจะเติบโตได้ดีในกลุ่มคนเมืองและหัวเมืองใหญ่ตลาดต่างจังหวัด และเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง อิชิตันกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาชาเขียวใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น สารให้ความหวานจากข้าวโพด เพื่อรองรับกับความต้องการของผู้หญิงที่ใส่ใจดูแลรูปร่าง” ตันกล่าว

สำหรับสภาพตลาดชาเขียวพร้อมดื่มปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพียง 10-20% จากเดิมคาดว่าตลาดจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือมีมูลค่าเพิ่มจาก 1.65 หมื่นล้านบาท เป็นมากกว่า 1.98 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก 5 เดือนแรกที่ผ่านมาตลาดติดลบ 4% หรือมีมูลค่าจาก 8,646 ล้านบาท เหลือเป็น 8,260 ล้านบาท ส่วนแบ่งเดือน ม.ค.มิ.ย. อิชิตันมีส่วนแบ่ง 44.9% โออิชิ 36.7% เพียวริคุ 7.6% ลิปตัน 3.9%

ประเด็นที่ต้องจับตามอง 5 เดือนที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่มในไทยติดลบและมีอัตราการเติบโตน้อย ทั้งนมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ แม้กระทั่งชาเขียวก็ตาม มาจากสภาพอากาศเดือนม.ค.มี.ค.ที่หนาว ประกอบกับการสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ นอกจากชาเขียวที่พยายามแตกเซ็กเมนต์ใหม่ๆ แล้ว เครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ก็เริ่มเปิดสินค้าที่แตกเซ็กเมนต์ใหม่ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ในแนวโลว์แคลอรี เห็นได้จากตลาดน้ำผลไม้ โดยร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดตัวน้ำผลไม้ 2 รสชาติใหม่ สำหรับผู้หญิงกับผู้ชาย พร้อมชูจุดขายตอบโจทย์ความต้องการผู้ดื่มด้านความสวยความงามและด้านสุขภาพ เช่นเดียวกับบริษัท ที.ซี.แนลเชอรัล ที่เปิดตัว “บี วอเตอร์” เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน พร้อมกับวางตำแหน่งเป็นฟังก์ชันนัลดริงก์โลว์แคลอรี เจาะผู้หญิงใส่ใจความงามและดูแลรูปร่าง

เอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ กล่าวว่า น้ำผลไม้ทิปโก้จะมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ และเพิ่มความถี่ในการบริโภค เนื่องจากคนไทยมีอัตราการบริโภคน้ำผลไม้ต่อปีเพียงคนละ 4 ลิตร/คน/ปี จากมาตรฐานขั้นต่ำทั่วโลกอยู่ที่ 20 ลิตร/คน/ปี โดยล่าสุดทิปโก้เปิดตัวน้ำผลไม้ 100% มี 2 รสชาติ ชูจุดขายมีไฟเบอร์ พร้อมทำบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ต เพื่อความสะดวกสบายและขยายโอกาสการดื่มระหว่างวัน จากที่ผ่านมาเน้นบรรจุภัณฑ์ยูเอชที และผู้บริโภคจะดื่มที่บ้านเป็นหลัก

ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ถึง 10% หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดเติบโตได้เพียง 45% เท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ในฐานะที่ทิปโก้เป็นผู้นำตลาดน้ำผลไม้ 100% ครองส่วนแบ่ง 45% ของตลาดมูลค่า 4,500 ล้านบาท ต้องกระตุ้นอัตราการดื่มน้ำผลไม้ของคนไทยเพิ่มขึ้น

แหล่งข่าวจากบริษัท กรีนสปอต เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดนมพร้อมดื่ม 3.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตน้อยมาก โดยตลาดนมวัวพร้อมดื่มมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท เติบโตเพียงแค่ 1% ส่วนนมถั่วเหลืองมูลค่า 1.41.5 หมื่นล้านบาท เติบโตราว 6% และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตแค่ 7% เท่านั้น

ดังนั้น โจทย์ของไวตามิ้ลค์ คือ ต้องสร้างจุดขายและคอนเซปต์ใหม่ จากเดิมสื่อสารฟังก์ชันนัลให้โปรตีน อิ่มสบายท้อง มาสู่จุดขายด้านความงาม เพื่อกระตุ้นให้ตลาดเติบโต เพราะที่ผ่านมาการแข่งขันตลาดนมถั่วเหลือง คู่แข่งอย่างแลคตาซอย เน้นจุดแข็งขายสินค้าคุ้มค่าคุ้มราคาเป็นหลัก

ทุกวันนี้ตลาดเครื่องดื่ม ทั้งนมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ ชาเขียว หรือกระทั่งน้ำอัดลมต่างแข่งขันกันข้ามแคธิกอรี่ เพราะแต่ละวันผู้บริโภคจะดื่มเครื่องดื่มมากสุดเพียง 2 ขวด/วัน การทำตลาดจึงต้องสร้างมูลค่ามากกว่าจุดขายพื้นฐาน รวมทั้งการแตกเซ็กเมนต์ลงลึกเพื่อสร้างโอกาสการดื่ม เพื่อสร้างตลาดให้เติบโตได้ต่อไป

ข่าวล่าสุด

ชี้จุด วิ่งฟรี มอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน - นครราชสีมา ต้องไปจุดไหน?