ซีพีเอฟจ่อทิ้ง3ธุรกิจ
เอาเงินไปทุ่มลงทุนด้านเกษตรอาหารดีกว่าเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้โตมากกว่า 15%
เอาเงินไปทุ่มลงทุนด้านเกษตรอาหารดีกว่าเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้โตมากกว่า 15%
CPF จ้องขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักอีก 23 แห่ง หลังขายมอเตอร์ไซค์ในจีน รายได้ปีนี้โตทะลุเป้า
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังพิจารณาการจัดโครงสร้างบริษัทหรือขายธุรกิจ 23 แห่ง ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทออกไป เช่น ตัวแทนขายอะไหล่ ไบโอเคมิคอล เพราะบริษัทต้องการโฟกัสไปยังกลุ่มเกษตรและอาหารที่ทำอยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาบริษัทเข้าไปซื้อกิจการมาก็ทำให้มีธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับอาหารหรือการเกษตรติดเข้ามาด้วย
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่สามารถบอกได้ชัดว่าจะสามารถขายบริษัทอะไรออกไป หรือขายในช่วงเวลาใดได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับผู้ซื้อและราคาที่ซื้อขายเป็นหลัก เช่นเดียวกับกรณีบริษัท C.P. Pokphand (CPP) ที่ CPF ถือหุ้นใหญ่สัดส่วนประมาณ 70% ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และมีแผนจะจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่โดยต้องการแยกไบโอเคมิคอลออกมา เพราะทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
นอกจากนั้น การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติให้ซื้อเงินลงทุนในบริษัท KAIFENG ที่ทำธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ในมณฑลเหอหนานของจีน มูลค่า 1,642 ล้านบาท และอนุมัติให้ขายกิจการธุรกิจรถจักรยานยนต์ Rapid Thrive ไปที่ราคา 1,617 ล้านบาท เพราะมองว่าธุรกิจมอเตอร์ไซค์ในจีนตอนนี้เป็นขาลง และแนวโน้มไม่น่าจะเติบโตได้
นายอดิเรก กล่าวว่า การซื้อและการขาย 2 บริษัทที่ขออนุมัติกับผู้ถือหุ้นครั้งนี้ เห็นได้ว่าจะไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดแต่อย่างใด เนื่องจากมูลค่าซื้อขายใกล้เคียงกันอยู่ที่กว่า 1,600 ล้านบาท แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับจะเป็นผลบวกต่อทั้งบริษัท CPF และ CPP ที่เป็นรากฐานการทำธุรกิจในจีนมากกว่า ทำให้บริษัทมีการทำรายได้และอัตราผลกำไรที่สม่ำเสมอ ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างจะซื้อโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันหลังซื้อ KAIFENG แล้วทำให้มีโรงงานผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์แล้ว 66 แห่ง เหตุผลเพราะยังเห็นความต้องการอาหารสัตว์ในมณฑลเหอหนานสูงและมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากมีประชากรสูงถึง 100 ล้านคน
ด้านผลการดำเนินงานในปี 2557 นายอดิเรกคาดว่ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนมากกว่า 15% ซึ่งดีกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะโตจากปีก่อนมากกว่า 10% โดยปี 2556 บริษัทมีรายได้ 4.04 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบมีราคาถูกกว่าปีก่อนมาก และมีผู้ผลิตน้อย (ซัพพลาย) ทำให้ปริมาณผลผลิตเนื้อสัตว์ออกมาสู่ตลาดโลกลดลงและทำให้ราคาเนื้อสัตว์สูง อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นธุรกิจอาหารที่จำเป็นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะการเมืองและเศรษฐกิจ ส่วนธุรกิจกุ้งก็เริ่มมีทิศทางดีขึ้น อัตราการตายของกุ้งที่เลี้ยงก็น้อยลงกว่าที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มองว่าขณะนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้กลับมาแล้ว และจะฟื้นตัวดีมากในครึ่งปีหลัง เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนออกมา เช่น การตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการลงทุนโดยตรงทำให้เกิดการอนุมัติโครงการต่างๆ ให้เดินหน้า อีกทั้งเริ่มมีนักเศรษฐศาสตร์ประมาณการตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 23% หรืออาจจะเติบโตมากกว่านั้นได้ จากเดิมที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าตัวเลขติดลบ
นอกจากนี้ เชื่อว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะดีขึ้นได้อีกหากมีความต่อเนื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตอบสนองการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออก


