พม่าปรับฐานภาษีเพิ่มกำลังซื้อมนุษย์เงินเดือน
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2557 รัฐบาลพม่าได้ผ่านความเห็นชอบกฎหมายรัษฎากรแห่งสหภาพเมียนมาร์ 2557 (Union of Myanmar Revenue Law of 2014) และร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภาษีที่มีอยู่เดิม ได้แก่ กฎหมายภาษีเงินได้ กฎหมายภาษีการค้า พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ และพระราชบัญญัติค่าธรรมเนียมศาล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1เม.ย. 2557 เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2557 รัฐบาลพม่าได้ผ่านความเห็นชอบกฎหมายรัษฎากรแห่งสหภาพเมียนมาร์ 2557 (Union of Myanmar Revenue Law of 2014) และร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภาษีที่มีอยู่เดิม ได้แก่ กฎหมายภาษีเงินได้ กฎหมายภาษีการค้า พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ และพระราชบัญญัติค่าธรรมเนียมศาล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1เม.ย. 2557 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายภาษีในครั้งนี้จะอยู่ที่การปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การขยายขอบข่ายกิจการบริการที่ต้องเสียภาษีการค้า และการปรับอัตราอากรแสตมป์
บทความฉบับนี้จะนำเสนอสาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะใช้บังคับในการคำนวณภาษีเงินได้ในปีภาษีปัจจุบัน โดยตารางประกอบแสดงการเปรียบเทียบอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่แก้ไขใหม่กับอัตราเก่า
จากตารางเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า ผู้มีรายได้ไม่เกิน 2 ล้านจ๊าด จะไม่ต้องเสียภาษี และผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 5 ล้านจ๊าด จะเสียภาษีน้อยลงหรือเท่าเดิม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้คือมนุษย์เงินเดือน ในขณะที่ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 5 ล้านจ๊าดขึ้นไป จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิม
ในส่วนการยกเว้นภาษีและการหักค่าลดหย่อนนั้น พนักงานพม่าและชาวต่างชาติที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศพม่าจะสามารถหักลดหย่อนภาษีรายปี ค่าลดหย่อนอุปการะคู่สมรส ค่าลดหย่อนบุตร ค่าประกันชีวิตของตัวผู้เสียภาษีและคู่สมรส เงินออม และเงินบริจาค ทั้งนี้ ตามกฎหมายใหม่มีการเพิ่มอัตราค่าลดหย่อนในกรณี คือ ค่าลดหย่อนกรณีอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรตามรายละเอียดที่แสดงในตารางสรุปค่าลดหย่อนที่มาพร้อมกันนี้
ทั้งการปรับฐานอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการปรับการให้สิทธิลดหย่อน สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลพม่ากำลังกระตุ้นให้ผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อยมีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เรียกเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายทางการคลังที่สอดคล้องกับการกระตุ้นการเติบโตของประเทศ
ในการแก้ไขกฎหมายภาษีในครั้งนี้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมซึ่งผู้เขียนจะนำมากล่าวต่อไป แต่อย่างไรก็ดี ยังคงมีบางส่วนที่ยังคงต้องอาศัยหลักปฏิบัติและการตีความโดยกรมสรรพากรอยู่ ดังนั้นในกรณีที่คลุมเครือและไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจน นักลงทุนหรือผู้มีเงินได้ควรยื่นข้อหารือต่อสรรพากรในเขตพื้นที่เพื่อขอคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในบทความนี้เป็นคำแนะนำทั่วไปเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลให้ดีหรือรับคำแนะนำจากผู้มีความชำนาญก่อนการดำเนินการใดๆ


