กสิกรเปิดศึกชิงลูกค้าตู้นิรภัย
ลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่นิยมเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้ที่บ้านจะคุ้นเคยกับการใช้บริการ “ห้องมั่นคง”
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง/ศุภลักษณ์ เอกกิติวงษ์
ลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่นิยมเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้ที่บ้านจะคุ้นเคยกับการใช้บริการ “ห้องมั่นคง” หรือบริการให้เช่าตู้นิรภัยนำทรัพย์สินมีค่ามาเก็บไว้ที่ธนาคาร ซึ่งทุกธนาคารจะมีให้บริการทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาที่เป็นอาคารของธนาคารเอง โดยห้องมั่นคงจะมีความพิเศษคือเป็นห้องสุญญากาศไม่ติดประกายไฟและเหล็กกล้าที่หนาทนทานความร้อนสูง หากเกิดไฟไหม้ได้นานหลายชั่วโมง
รูปแบบการเช่าตู้นิรภัยของธนาคารในปัจจุบัน เมื่อได้หมายเลขตู้แล้วธนาคารจะให้ผู้เช่าระบุว่าใครมีสิทธิจะเปิดตู้นิรภัยนี้ได้บ้าง การเปิดตู้จะมีกุญแจ 2 ดอก ดอกแรกธนาคารจะให้ลูกค้าเก็บไว้และอีกดอกหนึ่งธนาคารจะเก็บไว้ เมื่อต้องการจะเข้าไปดูทรัพย์สินจะต้องนำกุญแจส่วนของลูกค้าและบัตรประชาชนมาแสดงบางธนาคารจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์คลายล็อก แต่บางสาขาเจ้าหน้าที่จะมาไขกุญแจให้พร้อมกับลูกค้า
เมื่อเปิดตู้ออกมาก็จะมีกล่องอะลูมิเนียมสำหรับบรรจุทรัพย์สินอยู่ภายใน ลูกค้าจะต้องดึงกล่องออกมาเปิดเพื่อบรรจุทรัพย์สิน เมื่อเรียบร้อยก็จะไขกุญแจปิดและแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาไขกุญแจปิดล็อก แต่หากเป็นระบบคอมพิวเตอร์ก็จะปิดอัตโนมัติทันทีที่ลูกค้าปิดตู้ ซึ่งลูกค้าจะต้องไขกุญแจของตัวเองล็อกอีกชั้นหนึ่ง
สนนราคาค่าเช่าตู้นิรภัยอยู่ที่ขนาด หากต้องใส่ทรัพย์สินเยอะก็ควรเช่าตู้นิรภัยที่มีความสูงกว่าขนาดมาตรฐาน ซึ่งจะมีความกว้างคูณยาวเท่ากับโฉนดที่ดิน ส่วนความสูงก็มีหลายขนาดตามความต้องการของลูกค้า ปัจจุบันราคาเช่าตู้นิรภัยแตกต่างไปตามขนาด มีราคาตั้งแต่หลักพันบาท/ปี เป็นหลักหมื่นบาท/ปี
แต่เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ได้ทำให้ระบบบริการตู้นิรภัยเปลี่ยนไป จากที่ใช้ระบบกุญแจไขก็มาเป็นการสแกนนิ้วมือบางแห่งถึงกับสแกนม่านตา เพื่อแสดงตัวตนของเจ้าของ
ธนาคารกสิกรไทย เป็นธนาคารแห่งแรกที่นำเอารูปแบบตู้นิรภัยสมัยใหม่มาใช้ ด้วยระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์ ซึ่งมีความทันสมัยที่สุด ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก ด้วยการยืนยันตัวตนถึง 3 ชั้น เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือ พร้อมการแตะการ์ด ใส่ PIN Code และไขกุญแจเปิดตู้นิรภัย ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการตู้นิรภัยได้อย่างมั่นใจในห้องส่วนตัวเฉพาะบุคคล
นอกจากนี้ ได้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robot) มาใช้เป็นกลไกอัตโนมัติในการเคลื่อนย้ายตู้นิรภัยอัจฉริยะจากแหล่งเก็บไปสู่มือลูกค้า ช่วยเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับตัวบุคคล ปัจจุบันตู้นิรภัยอัจฉริยะนี้เปิดให้บริการ 2 แห่ง คือ เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และเดอะวิสดอม เลาน์จ แอด สยามพารากอน ที่มี 1,602 ตู้ ซึ่งธนาคารได้ลงทุนด้วยงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท
“เราศึกษาพบว่าลูกค้าต้องการใช้ตู้นิรภัยจำนวนมาก แต่ธนาคารพาณิชย์ไทยมีให้บริการไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงเน้นมากในการเพิ่มบริการตู้นิรภัยที่ดีที่สุดในสาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ซึ่งเป็นช็อปปิ้งมอลล์ระดับไฮเอนด์ โดยลงทุนกว่า 35 ล้านบาท สร้างระบบและตู้นิรภัยอัจฉริยะรองรับลูกค้า 800 ตู้ และมีห้องส่วนตัวสำหรับลูกค้าตู้นิรภัย 3 ห้องรองรับลูกค้าได้มากขึ้น จากแบบเดิมที่ลูกค้าตู้นิรภัยจะเข้าได้ทีละคน” ปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ระบุ
ตู้นิรภัยอัจฉริยะมีให้บริการ 3 ขนาด คือ M1 ขนาด 5x10 นิ้ว ค่าธรรมเนียมรายปี (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท ส่วน M2 ขนาด 8x10 นิ้ว ค่าธรรมเนียมรายปี 2.5 หมื่นบาท และ L ขนาด 10x10 นิ้ว ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3.5 หมื่นบาท แต่หากลูกค้ามีสินทรัพย์ภายใต้การลงทุน (Asset under management : AUM) กับธนาคารกสิกรไทย 10 ล้านบาทขึ้นไป สามารถใช้บริการตู้นิรภัยได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ธนาคารยังมีบริการตู้นิรภัยรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ (SemiAuto) ด้วยระบบความปลอดภัยยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกประตูนิรภัยและใช้กุญแจไขเปิดกล่องนิรภัย ซึ่งเปิดให้บริการ 3 สาขา ที่ศูนย์บริการเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด โซฟิเทล โซ กรุงเทพ ศูนย์บริการเดอะวิสดอม เซ็นเตอร์ วิซ เซฟบ็อก ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และศูนย์บริการเดอะ วิสดอม เซ็นเตอร์ วิซ เซฟบ็อก ธนาคารกสิกรไทย สาขาลาดพร้าว 92 โดยมีจำนวนตู้นิรภัยรวม 5,366 ตู้
นอกจากรุกตลาดชิงลูกค้าตู้นิรภัยอย่างเต็มตัวแล้ว กสิกรยังมีแผนเร่งเครื่องขยายฐานบริการ เดอะ วิสดอม หรือลูกค้าบุคคลพิเศษที่มีเงินฝากและเงินลงทุนกับธนาคารตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปอย่างเต็มที่ โดยล่าสุดจะเน้นเจาะกลุ่มเศรษฐีใน 19 จังหวัดตามหัวเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งรองรับทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ตั้งแต่ชาวต่างชาติที่มาทำงานแบบเอ็กซ์แพต ไปจนถึงคนในลาวและพม่าที่มีฐานะดีขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัดจาก 30% เป็น 35% ในปีนี้
ทั้งนี้ ธนาคารมีลูกค้ากลุ่มเดอะวิสดอม 1.18 แสนราย มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) กว่า 1.1 ล้านล้านบาท โดยลูกค้าวิสดอมของธนาคารมีส่วนแบ่งการตลาด 80% ของลูกค้าระดับบนทั้งหมดในไทยที่มี 1.53 แสนราย ซึ่งกสิกรไทยให้ความสำคัญลูกค้ากลุ่มบนมากขึ้น เช่นเดียวกับสถาบันการเงินอื่น เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครนี้ จะเป็นจุดเด่นที่ดึงลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้สูงเข้ามาใช้บริการของธนาคารและอาจจะเป็นแรงผลักดันให้ธนาคารอื่นลงมาร่วมแข่งขัน เพราะลูกค้ารายใหญ่มีกำลังซื้อสูงต้องการบริการพิเศษที่ไม่เหมือนใคร และยอมจ่ายค่าธรรมเนียมแพงแลกความแตกต่างอย่างยินดี


