พลังงานโต้ข่าวผลิตน้ำมันจำนวนมากในนครปฐม
พลังงานโต้ข่าวมีการผลิตน้ำมันจำนวนมากในแหล่งน้ำมันดิบอู่ทอง นครปฐม ย้ำปิโตรเลียมในไทยมีไม่พอใช้ในประเทศ
พลังงานโต้ข่าวมีการผลิตน้ำมันจำนวนมากในแหล่งน้ำมันดิบอู่ทอง นครปฐม ย้ำปิโตรเลียมในไทยมีไม่พอใช้ในประเทศ
นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เปิดว่า ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อออนไลน์ เรื่องมีการผลิตน้ำมันดิบมากมายในแหล่งน้ำมันดิบอู่ทอง กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยอ้างถึงการตรวจนับการเข้าออกของรถบรรทุกในสถานประกอบการบริเวณพื้นที่ผลิตของแหล่งน้ำมันดิบอู่ทอง กำแพงแสน และสังฆจาย จ.นครปฐม ซึ่งปัจจุบันมีบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดเป็นผู้รับสัมปทานนั้น
ปัจจุบันแหล่งน้ำมันดิบอู่ทอง สังฆจาย และกำแพงแสน เป็นแหล่งปิโตรเลียมที่ได้รับสัมปทานตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 ภายใต้สัมปทานเลขที่ 2/2528/27 โดยได้รับอนุมัติพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมจำนวน 3 พื้นที่ รวม 9.04 ตารางกิโลเมตร โดยเริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2536 โดยมีสถานีผลิตทั้งสิ้น 4 สถานี คือ
1.สถานีอู่ทอง 1-3 อยู่ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี 2.สถานีอู่ทอง 1-7 อยู่ในเขต จ.สุพรรณบุรี โดยทั้ง 2 สถานีมีการผลิตน้ำมันเฉลี่ยทั้งปี ในปี 2556 อยู่ที่ 198 บาร์เรลต่อวัน ก3.สถานีสังฆจาย เขตจ.สุพรรณบุรี มีปริมาณผลิตน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปี 2556 อยู่ที่ 118 บาร์เรลต่อวัน และ4.สถานีกำแพงแสน ในเขตจ.นครปฐม ปัจจุบันหยุดการผลิตแล้วตั้งแต่ 19 ธ.ค. 2556 โดยแต่เดิมมีปริมาณการผลิตค่าเฉลี่ยสูงสุดในเดือนมี.ค. 2538 ที่ 110 บาร์เรลต่อวัน
นายทรงภพ กล่าวว่า จากปริมาณการผลิตดังกล่าว การขนส่งน้ำมันดิบจากแหล่งอู่ทองไปยังจุดซื้อขายที่โรงกลั่นบาจาก โดยรถบรรทุกวันละ 1-2 คัน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลตั๋วซื้อ-ขาย น้ำมันหรือ Delivery Note ซึ่งจะระบุเลขทะเบีรยนรถที่ใช้ในการขนส่งน้ำมันดิบและปริมาณที่ขนส่งได้อย่างชัดเจน ณ สถานีต้นทางและปลายทาง
ดังนั้น การตรวสอบจำนวนรถเข้า ออก พื้นที่ประกอบการดังกล่าวไม่สามารถบอกปริมาณผลิตที่แท้จริงได้ เนื่องจากตอนนี้สถานีผลิตที่สามารถอัดกลับน้ำที่เกิดจากขบวนการผลิตที่จะไม่ปล่อยสู่สภาพแวดล้อมมีเพียงสถานีเดียวคือสถานีผลิตอุ่ทอง 1-7 ซึ่งมีปริมาณน้ำจากขบวนการผลิตปิโตรเลียมเฉลี่ย 1,500-2,000บาร์เรลต่อวัน และต้องขนส่งโดยรถบรรทุกประมาณ 6-7 เที่ยวต่อวัน
ฉะนั้น อัตราการผลิตน้ำมันดิบไม่สามารถนับจากปริมาณรถที่เข้าออกจากสถานีผลิตได้เพราะนอกจากกิจกรรมการขนส่งน้ำมันแล้ว รถที่บรรทุกของออกจากฐานการผลิตอาจจะเป็นพาหนะที่ของเหลวอื่นๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต ได้แก่ น้ำทิ้ง โคลน หรือเศษหิน เพื่อนำไปบำบัดตามหลักการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ต้องนำไปบำบัดโดยวิธีเผาทิ้งที่โรงปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย เนื่องจากตามหลักการประกอบกิจการปิโตรเลียมจะไม่อนุญาตให้ผู้รับสัมปทานทิ้งน้ำ เศษดิน หิน ในสถานที่ดำเนินการได้
ทั้งนี้ กรณีนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ เพราะเป็นทุกกิจกรรมด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมโดยดำเนินตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและกฎหมายว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นๆ
นายทรงภพ กล่าวว่า ในภาพรวมประเทศไทยมีทรัพยากรปิโตรเลียมที่ขุดได้จากแหล่งสัมปทานในประเทศไม่ถึง 1% ของโลก และไม่มีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
โดยในรอบี 2556 ประเทศไทยจัดหาปิโตรเลียมได้คิดเป็น 43% ของความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ชั้นต้นของประเทศ โดยในส่วนของก๊าซธรรมชาติซึ่งมีความต้องการใช้ประมาณวันละ 4,820 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนำเข้าในรูปแบบ LNG อีกประมาณ 190 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งจะมีราคาแพงกว่าก๊าซธรรมชาติที่จัดหาได้ในประเทศเกือบ 2 เท่า
นอกจากนี้ ในรอบปี 2556 ประเทศไทยยังจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลวในอัตราเฉลี่ยประมาณ 91,600 บาร์เรลต่อวัน และน้ำมันดิบอีก 149,000 บาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตราการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศปี 2556 นี้ ถือเป็นอัตราเฉลี่ยที่สูงสุดของประเทศแล้ว เนื่องจากไม่มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ๆ ขนาดใหญ่ในช่วงปีที่ผ่านมา จึงไม่มีแผนการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติใดที่จะมาเพิ่มอัตราการผลิตได้อย่างมีนัยในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้ม ในอนาคต หากประเทศมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี และถ้าไม่มีการสำรวจพบปิโตรเลียมใหม่ๆ เพิ่มเติม ภายในพ.ศ. 2565 ปริมาณการจัดหาปิโตรเลียมภายในประเทศจะลดลงเหลือประมาณ 18% ของความต้องการใช้พลังงาน (2.6ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงส่งผลให้กรมเชื้อเพลิงฯ พยายามรักษาระดับการผลิตปิโตรเลียมให้ได้นานที่สุดโดยการเร่งรัดการสำรวจปิโตรเลียมเพื่อพิสูจน์หาปริมาณสำรองปิโตรเลียมมาชดเชยส่วนที่ผลิตใช้ไปในแต่ละปี
ดังนั้น ในอนาคตถ้าไม่สามารถสำรวจพบและผลิตปิโตรเลียมในประเทศได้ต่อเนื่อง การผลิตปิโตรเลียมภายในประเทศจะลดลง ทำให้ต้องนำเข้าปิโตรเลียมมากขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้ราคาปิโตรเลียมมีแนวโน้มสูงขึ้นตามสัดส่วนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


