สิ่งทอไทย
อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนและการแข่งขันที่สูง เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจค่อนข้างมาก
อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนและการแข่งขันที่สูง เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจค่อนข้างมาก
สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้หาแนวทางใหม่ๆ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบภาคการเกษตรด้วยการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ (กลุ่มโครงการพัฒนาเส้นใยปี 2557) โดยมุ่งสร้างเส้นใยที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาฝ้าย และตอบสนองความต้องการของตลาดรักษ์โลกที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
ในปี 2556 ที่ผ่านมา การส่งออกเส้นใยธรรมชาติของไทยมีมูลค่า 26.38 ล้านเหรียญสหรัฐ (24,353.65 ล้านบาท) ขยายตัว 6.9% จากปีก่อน ขณะที่การส่งออกเส้นใยสังเคราะห์มีมูลค่า 642.56 ล้านเหรียญสหรัฐ (5,731.65 ล้านบาท) ขยายตัวลดลง 4.55% ชี้ให้เห็นถึงความต้องการบริโภคเส้นใยธรรมชาติที่มีมากขึ้น โดยตลาดส่งออกหลัก คือ จีน
ล่าสุด สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยสู่ Thai Eco Fiber นำใบสับปะรด ต้นกัญชง และเศษริมไหม วัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรและอุตสาหกรรม มาสู่การวิจัยและพัฒนา 3 เส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถักทอเป็นผ้าผืนต้นแบบโครงสร้างใหม่ นำร่องผลักดันสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นผ่านดีไซเนอร์ แปรรูปเป็นคอลเลกชั่นหรือผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย
นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินงานโครงการต่างๆ แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอจากวัฒนธรรม เช่น โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องแต่งกายมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ กลุ่มโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอท็อปด้านสิ่งทอ เช่น โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายก้าวสู่สากล โครงการคู่มือเสริมสร้างคุณภาพและมาตรฐานสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย และกลุ่มการพัฒนาโครงการในด้านเส้นใย เช่น โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วยเส้นใยต้นแบบและออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอเทคนิค โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบภาคการเกษตรด้วยการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อเร่งยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบให้สามารถแข่งขันได้
สำหรับผู้ประกอบการและนักออกแบบที่สนใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ โทร. 0271354929 ต่อ 400, 409 หรือที่ www.thaitextile.org และ facebook : Thailand Textile Institute
เปิดตัว ตัวอย่างผ้า Eco ต้นแบบงานวิจัย จากวัสดุเหลือใช้ในภาคการเกษตร อาทิ ผ้าจากเส้นใยสับปะรด ผ้าจากเส้นใยกัญชง ผ้าจากเศษไหม ที่นำมาปรับลุคให้น่าสนใจขึ้นด้วยเทคโนโลยีสิ่งทอ พร้อมส่งมอบให้นักออกแบบใน “โครงการประกวดออกแบบสิ่งทอเชิงสร้างสรรค์” (Creative Textile Awards 2014) และเตรียมดีไซน์สู่ผลิตภัณฑ์ที่มี่ความเป็น life Style รองรับความต้องการสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นและอุตสาหกรรมสิ่งทอเทคนิคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต อีกทั้งสถาบันพัฒนาฯสิ่งทอยังมีแนวทางที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอสู่ความเป็น Eco โดยการเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสียหรือของเหลือทิ้งที่ไม่ทำให้เกิดมลภาวะ หรือมีกระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่
สำหรับผู้ประกอบการและนักออกแบบท่านใดสนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2713 5492 – 9 ต่อ 400 ,409 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.thaitextile.org และ facebook: Thailand Textile Institute
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยว่า สถาบันฯสิ่งทอ เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยสู่ Thai Eco fiber นำใบสับปะรด ต้นกัญชง และเศษริมไหม วัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรและอุตสาหกรรม สู่การวิจัยพัฒนา 3 เส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถักทอเป็นผ้าผืนต้นแบบโครงสร้างใหม่ นำร่องผลักดันสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นผ่านดีไซน์เนอร์ แปรรูปเป็นคอลเลคชั่นหรือผลิตภัณฑ์ Life style ในการประกวดออกแบบสิ่งทอเชิงสร้างสรรค์ Creative Textiles Award 2014 ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบภาคการเกษตรด้วยการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ (กลุ่มโครงการพัฒนาเส้นใยปี 2557) พุ่งเป้าสร้างเส้นใยที่หลากหลาย สู่อุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาฝ้าย และตอบสนองความต้องการของตลาดรักษ์โลกที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยมูลค่าส่งออกเส้นใยธรรมชาติในปี 2013 ของไทยมีมูลค่า 26.38 ล้านเหรียญสหรัฐ (24,353.65 ล้านบาท) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 จากปีก่อน ในขณะที่การส่งออกเส้นใยสังเคราะห์มีมูลค่า 642.56 ล้านเหรียญสหรัฐ (5,731.65 ล้านบาท) ขยายตัวลดลงร้อยละ 4.55 ชี้ให้เห็นถึง ความต้องการบริโภคเส้นใยธรรมชาติมีมากขึ้น โดยตลาดส่งออกที่สำคัญคือ จีน ด้านการนำเข้าเส้นใยธรรมชาตินั้นมีมูลค่า 795.82 ล้านเหรียญสหรัฐ (30,085.49 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 6.76 ส่วนเส้นใยสังเคราะห์นำเข้า 187.20 ล้านเหรียญสหรัฐ (5,731.84 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 2.62
นางสุทธินีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2557 สถาบันฯ สิ่งทอ ได้ดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้งบสนับสนุนการจากหลายภาคส่วน โดยในภาพรวมแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ คือ กลุ่มโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอจากวัฒนธรรม เช่น โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องแต่งกายมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ กลุ่มโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ด้านสิ่งทอ เช่น โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายก้าวสู่สากล โครงการคู่มือเสริมสร้างคุณภาพและมาตรฐานสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย และกลุ่มการพัฒนาโครงการในด้านเส้นใย เช่น โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วยเส้นใยต้นแบบและออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอเทคนิค โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบภาคการเกษตรด้วยการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อเร่งยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบให้สามารถแข่งขันได้
นางสุทธินีย์ กล่าวต่อว่า จากกการดำเนินงานดังกล่าวประกอบกับกระแสความตื่นตัวในด้านสิ่งแวดล้อมและมลภาวะโลก ก่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทิศทางของอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงได้มีการปรับแนวทางและเป้าหมายการผลิตโดยเน้นการใช้วัสดุที่ทำจากพืชและวัสดุเหลือทิ้ง โดยเฉพาะจากภาคการเกษตรมากขึ้น สถาบันฯสิ่งทอ จึงได้เร่งดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบภาคการเกษตรด้วยการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อวิจัยและพัฒนาสร้างความหลากหลายของเส้นใย ลดการพึ่งพาฝ้ายซึ่งนำเข้าสูงถึงร้อยละ 95 ของปริมาณการใช้ฝ้ายในประเทศ รวมทั้งตอบสนองความต้องการของตลาดรักษ์โลกที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น ซึ่งในโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย 3 กิจกรรม คือ
1.ศึกษาแนวโน้มของนวัตกรรมการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยรวบรวมและพัฒนาเป็นองค์ความรู้เพื่อสร้างฐานข้อมูลให้แก่ ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมได้นำไปใช้ในอนาคต พร้อมเผยแพร่ผ่าน www.thaitextile.org/fibers
2.พัฒนาเส้นใยจากวัตถุดิบภาคการเกษตรเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนา 3 เส้นใย สู่ผ้าผืน คือ
สับปะรด ใบสับปะรดซึ่งเป็นของเหลือทิ้งจากภาคเกษตร จากข้อมูล ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกสับปะรดกว่า 600,000 ไร่ และ 1 ไร่ สามารถปลูกสับปะรดได้ 4,000 ต้น เมื่อเก็บเกี่ยวจะต้องตัดใบทิ้งเกิดเป็นของเสียกว่า 4,000 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อนำมาสู่กระบวนการพัฒนา สามารถแปรรูปเป็นเส้นใยได้ถึง 100 กิโลกรัม และพัฒนาต่อเป็นผ้าผืน โดยผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการคือ ผ้าผืนจากเส้นใยสับปะรดซึ่งมีส่วนผสม มากกว่า 10 % จากเดิมมีเพียงแค่ 5 % คือ ใยสับปะรด 10 และ ใยฝ้าย 90 พร้อมพัฒนาต่อเนื่องสู่ความเข้มข้น คือ ใยสับปะรด 65 และฝ้าย 35 เพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็น Eco สูงสุด สำหรับคุณสมบัติของเส้นใยสับปะรดนั้นจะมีความ เหนียว มันวาว ละเอียดและทนต่อการขัดสีในการสวมใส่ได้ดี
กัญชง ปลูกมากในพื้นที่ภาคเหนือ ปัจจุบันผ้าทอจากใยกัญชงได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเส้นใยมีคุณภาพสูง มีความยืดหยุ่น แข็งแรงทนทาน แต่ในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม สถาบันฯจึงได้เข้าไปวิจัยพัฒนากระบวนการปั่นด้ายและทอผ้าใยกัญชงในระดับอุตสาหกรรม เพื่อเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มและเตรียมรองรับการเติบโตของเส้นใย
กัญชงในอนาคต ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการคือ เส้นใยกัญชง 100 % นำไปสู่การทอผ้าผืนที่มีความเป็นธรรมชาติ พร้อมด้วยคุณสมบัติด้านความแข็งแรง และสามารถปกป้องรังสียูวีได้
เศษริมไหม วัสดุเหลือใช้จากภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันการทอผ้าไหมในประเทศไทยนั้นมีทั้งการผลิตระดับชุมชนและการผลิตระดับอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนแต่เกิดเศษไหมทิ้งโดยการทอผ้าไหมแต่ละครั้งจะยาวม้วนละ 50 เมตร และจะมีเศษไหมจากกระบวนการดังกล่าวประมาณ 1 กิโลกรัม การนำเศษไหมมารีไซเคิล ได้ผลลัพธ์ เป็นผ้าไหมผืนใหม่ที่สวยงามหลากหลายรูปแบบ เหมาะกับการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แฟชั่นเครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์เคหะสิ่งทอ นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและลดของเสียได้เป็นอย่างดี
โดยผลงานผ้าผืนจากเส้นใยธรรมชาติทั้ง 3 ประเภทภายใต้โครงการนั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรก ส่งต่อให้ผู้ประกอบการเพื่อพัฒนาและออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการใส่ฟังก์ชั่นลงบนผืนผ้า เช่น ผ้าสะท้อนน้ำ ผ้ากลิ่นหอม และสิ่งทอนาโนเทคโนโลยี ต่าง ๆ พร้อม


