ชัชพล ประสพโชค มือขวาสู่เอ็มดี UAC
“ชัชพล ประสพโชค” กรรมการผู้จัดการคนใหม่ บริษัท ยูเอซี โกลบอล (UAC) ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากก่อนหน้าเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายการตลาดและปฏิบัติการ หรือมือขวาของ “กิตติ ชีวะเกตุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและอดีตกรรมการผู้จัดการ
“ชัชพล ประสพโชค” กรรมการผู้จัดการคนใหม่ บริษัท ยูเอซี โกลบอล (UAC) ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากก่อนหน้าเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายการตลาดและปฏิบัติการ หรือมือขวาของ “กิตติ ชีวะเกตุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและอดีตกรรมการผู้จัดการ
“กิตติ” ต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาสานต่องานได้อย่างยั่งยืน เพราะเขาก็อายุ 60 ปีแล้ว จึงขอดำรงตำแหน่งเพียงประธานเจ้าหน้าที่บริหารเพียงอย่างเดียว เพื่อดูแลเรื่องวางแผนด้านนโยบายและให้คำปรึกษาเป็นหลัก ส่วนงานด้านการปฏิบัติการก็ให้ “ชัชพล” มาดูแลแทน ซึ่งถือเป็นการเติบโตจากคนในองค์กรที่อยู่กับบริษัทมานานกว่า 15 ปี และเห็นตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เข้าสู่การเติบโต และขยายงานไปด้านพลังงานทดแทนมากขึ้น
“ชัชพล” จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ (ไฟฟ้าระบบควบคุม) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบมาทำงานด้านวิศวกรเป็นเวลา 10 ปี ทั้งที่บริษัท สยามมิชลิน ในเครือบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย และบริษัท ไทยอะโรเมติกส์ ของเครือบริษัท ปตท. ซึ่งแต่ละงานที่ทำจะจบเป็นแต่ละโครงการมากกว่า
เมื่อมาเจอ “กิตติ” ที่ชักชวนให้มาที่ UAC ซึ่งมาเริ่มเรียนรู้ในงานด้านการขายถือเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับ “ชัชพล” ซึ่งแม้ตอนนั้นจะได้ทำงานกับสององค์กรใหญ่ที่แสดงถึงความมั่นคงในชีวิตแล้ว ทว่าเหมือนคนยุคหนึ่งที่จบมาเดินหน้าสายวิศวกรต่อ หรือจะมาสายทางการเงินที่กระแสตอนนั้นก็มีคนจบวิศวกรรมแล้วมาต่อการเงินกันมาก แต่เขาเลือกมาด้านสายงานการขายและการตลาด
“ตอนที่คุณกิตติชวนมาเหมือนเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเป็นสิ่งที่กลับข้างกันจากวิศวกรรมดูงานแต่ละโครงการ ทำให้ตอนนี้เข้าใจพนักงานขายแล้วว่าต้องอธิบายอย่างไรเพื่อให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องสื่อสาร จากมุมมองเดิมคือรู้สึกรำคาญเวลามาขายของ”
สิ่งที่เขาจะเรียนรู้จาก “กิตติ” คือการมีบุคลิกที่นุ่มนวล ใจเย็น และประนีประนอม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถือเป็นจุดอ่อน แต่ “ชัชพล” บอกว่า คนเรามีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน และไม่จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนจุดอ่อนของตัวเอง แต่จะทำอย่างไร ทำสิ่งที่เป็นจุดแข็งของตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้น คือ การทำอะไรที่คิดและทำอะไรที่เร็วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งในยุคที่เขามาดูแลงานด้านปฏิบัติงานจะถือว่าต้องทำให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้
หลักการทำงานสำหรับเขา สิ่งสำคัญที่สุดเหนืออื่นใดคือ “การมีวินัย” และ “ความซื่อสัตย์” เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องสร้างและฝึกมันขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานที่ทุกคนไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็ตามควรมี
นอกจากนั้น จะต้องพยายามกระตุ้นให้พนักงานรู้สึกว่าอยากทำงาน เพราะเป็นธุรกิจของพวกเราทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรและอยู่กับบริษัทอย่างยั่งยืน ไม่อยากให้มองว่าเป้ายอดขายเท่าไร เมื่อทำได้แล้วก็ทำหรือตั้งเป้าเพิ่ม เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าเราเป็นแค่พนักงานของบริษัทคนหนึ่งเท่านั้น
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของบริษัท ตั้งเป้าว่าภายในปี 2559 หรืออีก 3 ปี บริษัทต้องเป็นผู้นำพลังงานทางเลือกทั้งด้านพลังงานชีวมวล (ไบโอแมส) และก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง CBG (ไบโอแก๊ส) โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจดังกล่าวเป็น 70% จากปัจจุบัน 20% และธุรกิจซื้อขายผลิตภัณฑ์สารเคมีอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีลดลงเหลือ 30% จากปัจจุบัน 80%
ขณะที่รายได้ต้องมากกว่า 3,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้ารวมที่เป็น 5080 เมกะวัตต์ จากปี 2558 จะมีกำลังการผลิตเป็น 30 เมกะวัตต์ อีกทั้งคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เป็น 1 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4,0005,000 ล้านบาท ไว้รองรับอนาคตอาจพิจารณาย้ายกระดานไปจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ในวัย 46 ปี ที่ปกติจะมีการออกรอบตีกอล์ฟในวันเสาร์บ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากที่ได้รับตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น การออกรอบคงหายไปบ้าง และคงให้เวลาว่างทั้งหมดแบ่งไปให้ภรรยาและลูกทั้งสองคนของเขาให้มากที่สุด


