posttoday

เนเจอร์ฯ หวนส่งออกเร่งบุกอาเซียนกู้ยอดติดลบ

10 มิถุนายน 2557

ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2556 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2557 ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องออกมาปรับแผนการทำตลาด เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด ที่ต้องปรับแผนหันกลับมารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ในประเทศที่หายไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2556 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2557 ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องออกมาปรับแผนการทำตลาด เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด ที่ต้องปรับแผนหันกลับมารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ในประเทศที่หายไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สมชาย อัศวเศรณี ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่าย ภายใต้แบรนด์ “โกริโกะ” กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากตลาดในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือการเมือง เห็นได้จากยอดขาย ในประเทศของบริษัทที่ปรับตัวลดลง ถึง 30%

แผนการดำเนินงานดังกล่าว ถือเป็นการกลับมารุกตลาด ต่างประเทศอีกครั้งหลังจากเมื่อกว่า 10 ปีก่อน เคยให้ความสำคัญกับการทำตลาดต่างประเทศมาแล้ว ซึ่งการกลับมาบุกตลาดต่างประเทศอีกครั้งนับแต่ปีนี้ บริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะกลับมามีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 70% อีกครั้ง จากปัจจุบัน มีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 50%

กลุ่มประเทศที่บริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด มีความสนใจจะเข้าไปขยายตลาดมากขึ้น คือ ภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจ จากตลาดขนาดใหญ่ ที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน โดยปัจจุบันได้เริ่ม ส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดบ้างแล้วในประเทศสิงคโปร์

นอกเหนือจากภูมิภาคอาเซียนที่ บริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด จะให้ความสำคัญในการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดสินค้าประเภทสาหร่ายอบแห้งแล้ว ยังมีภูมิภาคอื่นๆ ที่ให้ความสนใจและเริ่มเข้าไปทำตลาดบ้างแล้วกว่า 10 ประเทศทั่วโลก เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย อเมริกา และกลุ่มประเทศในยุโรป

“นอกจากจะให้ความสำคัญกับธุรกิจด้านการส่งออก เรายังมีความสนใจจะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มประเทศ ที่ให้ความสนใจ คือ แอฟริกา ในส่วนของธุรกิจที่จะเข้าไปดำเนินการคือ โรงงานนมข้น โดยจะเน้นทำตลาดในกลุ่มประเทศแอฟริกา เช่นเดียวกับการสร้างโรงงานโยเกิร์ต” สมชาย กล่าว

สำหรับแผนการทำตลาดในประเทศ บริษัท มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะเน้นการขยายช่องทางจำหน่าย เพื่อให้สินค้าเข้าถึง ผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากที่สุด ซึ่งแบรนด์สินค้าที่จะเป็นตัวหลักในการทำตลาดในปีนี้ คือ โกริโกะ

“เราเปิดตัวสินค้าที่ทำจากสาหร่ายภายใต้แบรนด์ โกริโกะ เข้ามาทำตลาดระยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้บริโภค ยังไม่รู้จักสินค้าแบรนด์นี้มากนัก ดังนั้นในปีนี้จะหันมาทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ผู้บริโภครู้จักสินค้าสาหร่ายภายใต้แบรนด์ โกริโกะ มากขึ้น” สมชาย กล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนเปิดตัวสาหร่าย ปรุงรสตัวใหม่แบบแซนด์วิช เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความหลากหลายและเพิ่มทางเลือกให้กับ ผู้บริโภค ด้วยการชูจุดเด่น กรอบ ไม่ทอด ไร้ไขมัน เป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด เนื่องจากปัจจุบัน คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

แบรนด์สินค้าที่บริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด จะนำมาทำตลาดมากขึ้นนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป คือ แบรนด์ ทวิน ชีท, มินิ ซีหวีด โรล และกริล ซีหวีด มินิ แพ็ก มีขนาด 24 กรัม วางจำหน่ายในราคา 39 บาท/ซอง ส่วนแบรนด์ โกริโกะ ไทย ไรซ์ แครกเกอร์ จะเน้นทำตลาดส่งออกเป็นหลัก

สมชาย กล่าวต่อว่า ทุกปีที่ผ่านมาบริษัทมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยหลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดในห้างสรรพสินค้าทั่วไป บริษัทมั่นใจว่าในปีแรกของการทำตลาดน่าจะมียอดขาย ในช่องทางห้างค้าปลีกเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% และ ส่งผลให้สิ้นปีนี้มีรายได้รวมอยู่ที่ 400-500 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้เติบโตติดลบ

ทั้งนี้ ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด เพียงบริษัทเดียวเท่านั้น หลายธุรกิจล้วนประสบปัญหาเดียวกัน และกำลังหาทางออก เช่นเดียวกับบริษัท เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด ที่กำลังทำอยู่ในเวลานี้

ข่าวล่าสุด

อีลอน มัสก์ สร้างสถิติเป็นคนแรกของโลกที่รวยเกิน 700,000 ล้านดอลลาร์