posttoday

หนี้เสียบ้าน-รถทะยาน อีโคคาร์กู้ไม่ผ่าน40%

31 พฤษภาคม 2557

เครดิตบูโรห่วงหนี้ครัวเรือน หลังหนี้เสียบ้าน-รถเพิ่ม มิตซูชี้กู้ซื้อรถไม่ผ่าน 40%

เครดิตบูโรห่วงหนี้ครัวเรือน หลังหนี้เสียบ้าน-รถเพิ่ม มิตซูชี้กู้ซื้อรถไม่ผ่าน 40%

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ภาวะหนี้เสียขณะนี้นับเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะเริ่มเห็นสัญญาณการค้างชำระ 3190 วันเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขบัญชีสินเชื่อที่ยังมีการเคลื่อนไหว ณ ไตรมาสแรก ปี 2557 มี 47.4 ล้านบัญชีสินเชื่อ จากทั้งหมด 71.5 ล้านบัญชีสินเชื่อ กลุ่มค้างชำระ 31-90 วัน โตมากถึง 38% ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก

ขณะที่สินเชื่อบ้าน ที่ผ่านมาถือว่าเป็นสินเชื่อดี มีตัวเลขการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียต่ำ กลับเริ่มมีสัญญาณน่าเป็นห่วงว่าสินเชื่อบ้านกลุ่มคงค้างชำระ 31-90 วันเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มค้างชำระไม่เกิน 1 เดือน (ลูกหนี้ดี) ในไตรมาสแรกที่ผ่านมาโตขึ้น 8% กลับเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตลดลง

สำหรับสินเชื่อรถยนต์ บัญชีหนี้เสียในไตรมาสแรก ปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 แสนคัน จากในไตรมาสแรก ปี 2556 หนี้เสียอยู่ที่ 2.5 แสนคัน ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นตัวที่ทำให้มีปัญหามากที่สุด โดยหนี้เสียจากสินเชื่อส่วนบุคคลโตมากถึง 1.1 ล้านบัญชี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนี้เสียจากบัตรเครดิตที่มีประมาณกว่า 1 แสน ยังไม่น่าห่วง เพราะบัตรเครดิต หากไม่จ่ายใน 30 วัน จะถูกตัดการใช้จ่ายทันที

ด้านปัญหาหนี้ครัวเรือนจากสินเชื่อรถ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ที่ผ่านมาคนอยากซื้อบ้านกู้ผ่านได้ยาก เพราะมีภาระหนี้ดังกล่าวที่ค่อนข้างสูงแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าสินเชื่อครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังรัฐประหารที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน ซึ่งมีหลายธนาคารที่เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าจะไม่ลดเป้าการเติบโตในการปล่อยสินเชื่อ จึงคาดว่าภาพรวมสินเชื่อปีนี้จะขยายตัวอีก 8% หลังจากชะลอมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2556 ส่งผลให้ภาวะหนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วง

นายวราทิตย์ อิทธิสารรณชัย ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานขายและสำนักการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขณะนี้กำลังซื้ออีโคคาร์ชะลอตัวเล็กน้อย สังเกตจากยอดจองตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังพอมี แต่มีปัญหาไม่ผ่านอนุมัติจากไฟแนนซ์ถึง 30-40% ของยอดจอง โดยผู้ซื้อรถอีโคคาร์ 80% จะกู้ซื้อรถ

ทั้งนี้ จากการอัดฉีดของรัฐ จ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มกำลังซื้อกลุ่มรากหญ้า บริษัทจึงมุ่งทำตลาดในกลุ่มดังกล่าว และปรับโฉมใหม่โมเดลเยียร์ กลุ่มอีโคคาร์เร็วๆ นี้ ส่งผลให้มีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบ ทั้งภาคเกษตรและภาคธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง บริษัทจึงเตรียมการทำแผนการตลาดมุ่งเน้นจับกลุ่มลูกค้าในกลุ่มดังกล่าว พร้อมการเตรียมการปรับโฉมผลิตภัณ์ใหม่ (โมเดลเยียร์) ในกลุ่มอีโคคาร์ในเร็ววันนี้

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยในงานสัมมนาสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯปริมณฑล ปี 2557 ว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลังจะคึกคักมากขึ้น ทั้งโครงการใหม่เปิดตัว และการแข่งขัน หลังจากที่การรัฐประหารทำให้การเมืองดูคลี่คลายจึงเชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ทั้งปี 2557 นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 1.05 แสนหน่วย แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 4 หมื่นหน่วย ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และคอนโดมิเนียม 6.5 หมื่นหน่วย ลดลงจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 8.5 หมื่นหน่วย

สำหรับการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จะกระจุกตัวในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีแรกลง ส่งผลให้ภาพรวมการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 พ.ค.ปีนี้ ชะลอตัวเกือบ 30%

ทั้งนี้ โครงการเปิดตัวใหม่ช่วงเวลาดังกล่าว แบ่งเป็น บ้านจัดสรร เปิดตัวใหม่ 92 โครงการ รวมจำนวน 13,868 หน่วย ชะลอตัว 1015% ในจำนวนดังกล่าว มียอดขายแล้ว 3,177 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนขาย23% เหลือขาย 10,691 หน่วย

ขณะที่คอนโดมิเนียม เปิดตัวใหม่ 55 โครงการ รวมจำนวน 23,624 หน่วย ชะลอตัว 40% ในจำนวนดังกล่าว มียอดขายแล้ว 11,107 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนขายประมาณ 40% เหลือขาย 12,517 หน่วย

ทั้งนี้ ผลการสำรวจที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ สิ้นปี 2556 พบว่า มีโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างขาย 911 โครงการ รวมจำนวน 186,193 หน่วย ขายได้แล้ว 61% ปัจจุบันเหลือขาย 72,187 หน่วย ส่วนคอนโดมิเนียมมี 405 โครงการ รวมจำนวน 191,915 หน่วย ขายได้แล้ว 74% เหลือขาย 49,352 หน่วย

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนจากสินเชื่อรถ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ที่ผ่านมาคนอยากมีบ้านกู้ผ่านได้ยาก เพราะมีภาระหนี้ดังกล่าวที่ค่อนข้างสูงแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าสินเชื่อครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังรัฐประหารที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน ซึ่งมีหลายแบงก์ที่เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่า จะไม่ลดเป้าการเติบโตในการปล่อยสินเชื่อ จึงคาดว่าภาพรวมสินเชื่อปีนี้จะขยายตัวอีก 8% หลังจากชะลอมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2556 ส่งผลให้ภาวะหนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วง

ขณะที่ภาวะหนี้เสีย ก็เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะเริ่มเห็นสัญญาณของการคงค้างชำระ 3190 วันเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขบัญชีสินเชื่อที่ยังมีการเคลื่อนไหว ณ ไตรมาส 1 ปี 2557 มี 47.4 ล้านบัญชีสินเชื่อ จากทั้งหมด 71.5 ล้านบัญชีสินเชื่อ กลุ่มค้างชำระ 3190 วัน โตมากถึง 38% ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก

ด้านสินเชื่อบ้าน ที่ผ่านมาถือว่าเป็นสินเชื่อดี มีตัวเลขการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียต่ำ กลับเริ่มมีสัญญาณน่าเป็นห่วงว่า สินเชื่อบ้านกลุ่มคงค้างชำระ 3190 วันเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มค้างชำระไม่เกิน 1 เดือน (ลูกหนี้ดี) ในไตรมาสแรกที่ผ่านมาโตขึ้น 8% กลับเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตลดลง

สำหรับสินเชื่อรถยนต์ บัญชีหนี้เสียในไตรมาสแรก ปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 แสนคัน จากในไตรมาสแรกปี 2556 หนี้เสียอยู่ที่ 2.5 แสนคัน ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นตัวที่ทำให้มีปัญหามากที่สุด โดยหนี้เสียจากสินเชื่อส่วนบุคคล โตขึ้นมากถึง 1.1 ล้านบัญชี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนี้เสียจากบัตรเครดิตที่มีประมาณ แสนกว่าใบ ยังไม่น่าห่วง เพราะบัตรเครดิต หากไม่จ่ายภายใน 30 วัน ก็จะถูกตัดการใช้จ่ายทันที

ทั้งนี้ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของคนไทยเพิ่มขึ้นมากถึง 1 ล้านล้านบาทในรอบ 12 เดือน จาก8.7 ล้านล้านบาทในช่วงต้นปี 2556 กลายมาเป็น 9.7 ล้านล้านบาทในช่วงสิ้นปี 2556 โดยในปี 2556 มีโครงการรถคันแรก 5 แสนคัน เฉลี่ยขอสินเชื่อคันละประมาณ 7 แสนบาท รวมมียอดสินเชื่อรถยนต์สูงถึง 3.5 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มคนที่มีรายได้ประมาณ 13 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่ของคนซื้อบ้าน เป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่สร้างหนี้เพิ่มมากที่สุด โดยวิเคราะห์จากตัวเลขพฤติกรรมการบริโภคและการเงินของสภาพัฒน์ สิ้นปี 2556 เทียบกับปี 2552 พบว่า คนกลุ่มนี้ ในปี 2552 เคยมีหนี้ต่อรายได้อยู่ที่ 24% ในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 34%

ขณะที่กลุ่มคนที่มีรายได้ ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท เป็นกลุ่มคนทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2552 มีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ 45% แต่ปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 61% เป็นกลุ่มที่มีปัญหาเช่นกัน และพึ่งเงินโอทีในการหมุนเงินใช้จ่าย

สำหรับการยื่นขอเปิดมีบัญชีสินเชื่อใหม่ทุกประเภทในไตรมาสแรกของปี 2557 แม้จะลดลงประมาณ 10% แต่เฉลี่ยก็ยังมีใบสมัครยื่นขอสินเชื่อสูงถึง 1 ล้านใบต่อเดือน ส่วนแบงก์แม้จะเร่งขายสินเชื่อ แต่ก็ยื่นขอดูข้อมูลเครดิตของผู้กู้มากขึ้นเช่นกัน โดยปี 2553 ขอเรียกดูข้อมูลเครดิต 5.3 ล้านครั้งใน 1 ปี ปี 2556 เรียกดู 16 ล้านครั้งใน 1 ปี แต่เพียง 4 เดือนแรกของปี 2557 มีตัวเลขเรียกดูข้อมูลเครดิตสูงถึง 11 ล้านครั้ง

ข่าวล่าสุด

พรรคประชากรไทย ชู 4 เสาหลักพลิกฟื้นประเทศ ส่งชิงเก้าอี้ สส.261 คน สู้ศึกเลือกตั้ง‘69