PCSGH ฉีกตำราครอบครัวเริ่มกู้เงินเร่งการเติบโต
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
หุ้นน้องใหม่ บริษัท พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง (PCSGH) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. 2557 ที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าที่เสนอขายให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่ 8.60 บาท ซึ่งไม่ใช่เกิดจากปัจจัยพื้นฐานไม่ดีหรอก แต่บังเอิญเข้ามาเทรดผิดจังหวะ นักลงทุนไม่สนใจหุ้นหมวดยานยนต์ท่ามกลางภาวะตลาดรถยนต์รวมในประเทศมีแนวโน้มหดตัวลง 2025% แต่สถานการณ์นี้จะมีผลกระทบต่อ PCSGH ไม่มากนัก เพราะผู้บริหารเตรียมแผนรับมือไว้พร้อมพรั่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“ประสงค์ อดุลยรัตนนุกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีความเชื่อมั่นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า พี.ซี.เอส.แมชีนฯ คือตัวจริงในวงการผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และหุ้น PCHGH จะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในระยะยาวได้ดีทีเดียว เพราะมีศักยภาพการเติบโตมีความสามารถในการทำกำไร และฐานะการเงินแข็งแรง
“ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเราไม่เคยขอสินเชื่อจากแบงก์เลย ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (ดีอี) อยู่ที่เป็นศูนย์ แต่เป็นการตัดโอกาสการเติบโตมากที่ผ่านมา และวัตถุประสงค์ของการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เกิดจากผู้ถือหุ้นใหญ่มองเห็นโอกาสจากการเปิดเออีซี เราจะต้องเตรียมความพร้อมด้านเงินทุนและต่อไปจะเริ่มทดลองกู้เงินบ้างแล้ว และได้เปลี่ยนนโยบายกู้ได้ 1 เท่า และที่สำคัญยังมีเครื่องมือการเงินอื่นๆ ด้วย เช่น การออกหุ้นกู้ ส่วนการกู้แบงก์จะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ต่อไปเราไม่ต้องปฏิเสธลูกค้าแล้วเลือกรับงานเฉพาะงานที่มาร์จิ้นสูง เพราะมีข้อจำกัดใช้เงินจากกำไรเท่านั้น”
สำหรับแผนที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้แบบก้าวกระโดดไปพร้อมกับเออีซี คือ นโยบายการขยายงานของบริษัทจะยังลงทุนเมื่อได้งานจากลูกค้า บริษัทออกแบบผลิตภัณฑ์เฉพาะเพื่อลูกค้ารายนั้นๆ จึงมีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูง ไม่สามารถลงทุนล่วงหน้าได้เมื่อเริ่มไลน์การผลิตสามารถเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตทันที โดยปัจจุบันมีพื้นที่พร้อมเพื่อสร้างโรงงาน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการส่งออกทางตรงด้วย ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 10% ของยอดขาย โดยขณะนี้เริ่มมีการส่งออกไปยุโรปโดยตรงเป็นครั้งแรกในปีนี้ คือ ฝรั่งเศส เริ่มมีการเจรจากับลูกค้าใหม่ๆ หลายราย ซึ่งมีแผนจะออกงานร่วมกับลูกค้าเพื่อเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนใหม่ๆ
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายหาลูกค้ารายใหม่ๆ เพื่อประคับประคองธุรกิจในปี 2557 ให้ได้เป้าหมายที่ตั้งไว้ คือรักษากำไรและรายได้ให้ใกล้เคียงหรือลดลงเล็กน้อยจากปี 2556
“แผนการลดต้นทุนที่เป็นจุดแข็งหนึ่งของบริษัทด้วยเทคโนโลยีที่คิดและทำเอง เมื่อรวมกับการเพิ่มยอดขาย เชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิให้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 27%”
บริษัทต้องเพิ่มกิจกรรมลดต้นทุนและทำเร็วขึ้นกว่าแผนที่เคยวางไว้ โดยมีแผนระยะสั้นที่ทำได้และมีผลทันที คือการลดต้นทุนผันแปร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องการสูญเสียการใช้วัตถุดิบและวัสดุที่ใช้ในการผลิต โดยงบที่ใช้ลดต้นทุนปีนี้ยังใกล้เคียงจำนวนเดิมที่วางไว้ แต่จะเพิ่มหัวข้อเรื่องโดยใช้ความรู้และเทคโนโลยี รวมถึงการทำวิจัยเพื่อผลในระยะยาว
ขณะที่บริษัทยังมีจุดแข็งอีก ด้านต้นทุนแรงงานที่ไม่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม เนื่องจากในปี 2547 ได้นำเข้าโรบอตแขนกลมาพัฒนาต่อยอดทำมือและนิ้วมือทดแทนด้วยเทคโนโลยีของตัวเองเพื่อใช้ทดแทนแรงงานคน ซึ่งแขนกล 1 ตัวแทนคนได้ถึง 3-4 คน ใช้ในงานประเภทที่คนไม่ต้องการทำ แต่ยังต้องใช้แรงงานคนอยู่เพื่อสร้างงานในชุมชน
สำหรับกลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย โดยเจรจาทั้งลูกค้ารายเก่าและใหม่เพื่อเสนอขายสินค้าที่สามารถทดแทนการนำเข้าของลูกค้า เช่น ลูกค้าเก่ากำลังทำโปรแกรมการผลิตรถยนต์ เราก็เสนอสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าที่ลูกค้านำเข้าชิ้นส่วนบางชิ้น
ส่วนลูกค้ากลุ่มใหม่คือกลุ่มจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยเริ่มมีผู้เชี่ยวชาญจากยุโรปมาเที่ยวชมโรงงานของบริษัท ซึ่งมีแนวโน้มจะได้คำสั่งซื้อชิ้นส่วนหลายรายการ แม้วอลุ่มไม่มาก แต่ถือว่ามีอัตรากำไรที่สูง เพราะเป็นรถจักรยานยนต์ที่มีมูลค่าสูง จึงมีอัตรากำไรใกล้เคียงกับการผลิตชิ้นส่วนเดิมของบริษัท โดยน่าจะเริ่มทยอยมีรายได้ใหม่นี้เข้ามาในไตรมาส 3-4 ปี 2557
ทำให้อนาคตของบริษัทมีโอกาสเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรม ซึ่ง “ประสงค์” เชื่อมั่นต่อภาพการเติบโตใน 23 ปีข้างหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่สามารถผ่านวิกฤตมาตั้งหลายครั้งแล้วก็กลับมาสู่ภาวะปกติได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะในปี 2558 จะเห็นการเติบโตสูงมากจากฐานที่ต่ำในปีนี้ และผู้ผลิตมีแผนจะออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
และที่สำคัญ การเปิดเออีซีจะเกิดขึ้นในปี 2558 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยขนาดตลาดที่ขยายขึ้นจากเดิมประชากรไทยที่มีราว 60 ล้านคนจะรวมกับอาเซียนกลายเป็น 600 ล้านคน เมื่อบริษัทระดมทุนในตลาดหุ้นพร้อมแล้ว ไม่ต้องแย่งเงินทุน เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนโอกาสจะมาถึงโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มลุ่มน้ำโขงจะมีความต้องการรถยนต์สูงเพื่อทำการค้า โดยประเทศไทยยังถือเป็นศูนย์กลางของฐานการผลิตรถยนต์กระบะสำคัญของลูกค้าในประเทศกลุ่มลุ่มน้ำโขงเพราะมีระบบขนส่งที่เอื้อ ขณะที่การส่งออกยังไม่สามารถเติบโตได้ทันความต้องการในประเทศจำนวนมากที่หายไป แต่การส่งออกจะเป็นโอกาสสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมในระยะยาว
“ประสงค์” กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าหุ้นยังต่ำกว่าราคาจอง แต่นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังถือหุ้น PCSGH อยู่ใกล้เคียงกับในช่วงไอพีโอ สะท้อนว่าต้องการลงทุนในระยะยาว ประกอบกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมยังคงถือหุ้นถึง 75% และตอนนี้กำลังคุยภายในบริษัทว่าจะเปลี่ยนนโยบายการปันผลเป็นปีละ 2 ครั้ง จากเดิมปีละ 1 ครั้ง จากนโยบายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไร


