สสว.ตอบข้อคาใจไฉนถือหุ้นบริษัทซ่อมเครื่องบิน
กลายเป็นข้อสงสัยของบรรดาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทันที เมื่อปรากฏข้อมูลว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หน่วยงานหลักที่มีบทบาทดูแล สนับสนุน ส่งเสริม และให้ความช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีร่วม 2.7 ล้านราย เข้าไปถือหุ้นในบริษัท อุตสาหกรรมการบิน ในสัดส่วน 51%
กลายเป็นข้อสงสัยของบรรดาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทันที เมื่อปรากฏข้อมูลว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หน่วยงานหลักที่มีบทบาทดูแล สนับสนุน ส่งเสริม และให้ความช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีร่วม 2.7 ล้านราย เข้าไปถือหุ้นในบริษัท อุตสาหกรรมการบิน ในสัดส่วน 51%
และยิ่งตกอกตกใจกันไปใหญ่เมื่อพบว่าบริษัทอุตสาหกรรมการบินที่ สสว.เข้าไปถือหุ้นตั้งแต่ปี 2546 และมีทุนจดทะเบียนรวม 100 ล้านบาท กลายเป็นผู้ผูกขาดการซ่อมเครื่องบินของกองทัพอากาศมาตลอด 10 ปี
พลิกดูรายได้แล้วแทบอึ้งเมื่อพบว่าในระยะ 10 ปี มีรายได้จากการซ่อมร่วม 1.41.5 หมื่นล้านบาท
ศูนย์ข่าวอิศรา รายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า นับจากก่อตั้งในปี 2546-2556 บริษัทอุตสาหกรรมการบิน ได้รับว่าจ้างจากหน่วยงานของรัฐทั้งสิ้น 411 ครั้ง วงเงิน 15,401 ล้านบาท
เฉพาะส่วนของกองทัพอากาศ กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ และกรมช่างทหารอากาศ 13,959 ล้านบาท และกองทัพบกส่งซ่อมปรับปรุงและยืดอายุโครงสร้างเฮลิคอปเตอร์ 998 ล้านบาท
ทำให้เกิดความสงสัยในเรื่องนี้ สสว.เป็นองค์กรของรัฐ เข้าไปร่วมถือหุ้น ร่วมกับบริษัทดังกล่าวได้อย่างไร
“ปฏิมา จีระแพทย์” ผู้อำนวยการ สสว. ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปลายปี 2556 ชี้แจงว่า การที่ สสว.เข้าไปถือหุ้นในบริษัท อุตสาหกรรมการบิน เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในปี 2546 ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทราบมาว่าการเข้าไปถือหุ้นก็ปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างถูกต้อง
ผู้ถือหุ้นอีกรายของบริษัท อุตสาหกรรมการบิน ก็คือ กองทัพอากาศโดยถือผ่านกองทุนสวัสดิการทหารอากาศ ถือเป็นหน่วยงานรัฐเหมือนกับ สสว. ถือเป็นการเข้าไปถือหุ้นในหน่วยงานรัฐ การเข้าถือหุ้นจึงทำตามมติ ครม.
ส่วนรายได้จากผลการดำเนินงานในแต่ละปีนั้น ก็จะแบ่งสัดส่วนรายได้ตามการถือหุ้นตามปกติ หากมีกำไรก็จะต้องให้แก่ สสว.ที่ถือหุ้นอยู่ 51%
ตามข้อมูลของ บริษัท อุตสาหกรรมการบิน ระบุไว้ว่า ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมการบิน เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2546 เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค เพราะที่ผ่านมาไทยมีอากาศยานกว่า 1,000 เครื่อง แต่ไม่มีศูนย์ซ่อมอากาศยาน ต้องส่งซ่อมกับต่างประเทศทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท
กระทรวงคมนาคมและกองทัพอากาศจึงเสนอ ครม. ขอจัดตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา ทุนจดทะเบียนขั้นต้น 100 ล้านบาท ช่วงแรก สสว.ถือหุ้นสัดส่วน 70% และกองทัพอากาศ (กองทุนสวัสดิการทหารอากาศ) ถือหุ้น 30% แต่ปัจจุบัน สสว.ได้ลดสัดส่วนเหลือ 51% กองทัพอากาศ 49% มิได้เข้าไปลงทุนโดยไม่มีการตรวจสอบ
ปฏิมา ชี้แจงว่า ไม่เฉพาะ บริษัท อุตสาหกรรมการบิน เท่านั้นที่ สสว.เข้าไปถือหุ้นเพื่อการพัฒนาให้ธุรกิจบางส่วนที่เป็นจุดอ่อนมีความแข็งแกร่งขึ้นมา เป็นการตอบโจทย์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เกิดขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา สสว.ได้เข้าไปถือหุ้นใน บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) หรือเดิมชื่อ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอาหาร ที่จัดตั้งขึ้นตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2546 มีทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท โดยเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นทดสอบผลิตสินค้าเกษตรและอาหารด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นหลัก และเน้นการตรวจสอบสินค้าอย่างรวดเร็วถูกต้อง แม่นยำ เพื่อดูแลผู้ส่งออก
“ปฏิมา” ยืนยันว่า แม้ สสว.จะถือหุ้นในบริษัทอื่นๆ แต่ก็มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีในทุกด้าน และต้องประสานกับหน่วยงานต่างๆ ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยและต้องมีข้อมูลแจ้งเตือนภัยแก่เอสเอ็มอีด้วย
ขณะเดียวกัน สสว.ก็มีแผนและมาตรการเพื่อให้เอสเอ็มอีขยายธุรกิจและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งเสริมการขยายธุรกิจไปในภูมิภาค เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย
ทั้งนี้ ตามแผนที่ปฏิมาตั้งไว้นั้น ในปีนี้จะออกแรงสร้างจีดีพีของกลุ่มเอสเอ็มอีให้ขยายตัว 4.3-4.7%
หากพิจารณาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ สสว.ได้รับแค่ 838.95 ล้านบาท อาจดูน้อย แต่ถ้าพิจารณาจากเป้าหมายการสร้างเถ้าแก่น้อย 1.1-1.2 หมื่นราย พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าอีกกว่า 2,100 ผลิตภัณฑ์ ก็ถือว่าเป็นงานท้าทายไม่น้อย


