การทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจับมือปืนป๊อปคอร์นจากสุราษฎร์ธานี หลังจากนั้นตำรวจนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีหลายท่านเคลือบแคลงสงสัยว่า ผู้ต้องหาสมัครใจหรือไม่ หรือถูกบังคับให้ทำท่าทางตามที่ตำรวจบอก และศาลจะรับฟังเกี่ยวกับเรื่องการทำแผนหรือไม่ ลำพังเพียงตำรวจให้ผู้ต้องหาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จะใช้ลงโทษจำเลยได้หรือไม่ในชั้นศาล ทนายคลายทุกข์จึงไปรวบรวมเกี่ยวกับคดีการทำแผนมานำเสนอดังนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจับมือปืนป๊อปคอร์นจากสุราษฎร์ธานี หลังจากนั้นตำรวจนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีหลายท่านเคลือบแคลงสงสัยว่า ผู้ต้องหาสมัครใจหรือไม่ หรือถูกบังคับให้ทำท่าทางตามที่ตำรวจบอก และศาลจะรับฟังเกี่ยวกับเรื่องการทำแผนหรือไม่ ลำพังเพียงตำรวจให้ผู้ต้องหาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จะใช้ลงโทษจำเลยได้หรือไม่ในชั้นศาล ทนายคลายทุกข์จึงไปรวบรวมเกี่ยวกับคดีการทำแผนมานำเสนอดังนี้
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4314/2544
โจทก์มีแต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลย บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่าย กับภาพถ่ายที่ ส. ชี้จำเลยโดยมี ร.ต.อ. น. พนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้น ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาว่าคำรับสารภาพมิได้เป็นไปด้วยความสมัครใจ และมิได้นำชี้ที่เกิดเหตุแต่อย่างใด ดังนั้นการจะนำคำรับสารภาพและการนำชี้ที่เกิดเหตุชั้นสอบสวนของจำเลยมาฟังลงโทษจำเลย โจทก์จะต้องมีพยานประกอบมาสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ทั้งพยานประกอบต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวน เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลย พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2533
ภาพถ่ายและบันทึกการนำตัวผู้ต้องหาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เพื่อให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2514
การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลยนั้น โจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้น ต้องมิใช่คำตำรวจผู้สอบสวน คำรับนั้นเอง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 85/2484)
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2539
ในคดีอาญาเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำความผิด โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องเมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานพฤติเหตุแวดล้อมมาสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย คำเบิกความของเจ้าพนักงานผู้จับกุมจำเลยทั้งสอง ซึ่งอ้างว่าสืบทราบว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย และจำเลยทั้งสองรับสารภาพในชั้นจับกุมกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนจำเลยทั้งสอง ที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่พอให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง
5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9413/2539
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายขณะเกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์มีเพียงบันทึกการจับกุมบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพบันทึกนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่าย ซึ่งจำเลยที่ 3 ปฏิเสธในชั้นศาล และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ได้รับส่วนแบ่งทรัพย์ที่ถูกปล้น จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 3 ร่วมปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสอง
6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2541
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมกรณีมาเบิกความให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย คงมีแต่ ก. ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้นำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยไปพบพยานที่บ้านแจ้งความประสงค์จะเข้ามอบตัว พยานจึงนำตัวจำเลยไปมอบให้จ่าสิบตำรวจตรี ส. ซึ่งจ่าสิบตำรวจตรี ส. เบิกความว่าเมื่อ ก. นำตัวจำเลยไปมอบให้นั้น จำเลยรับว่าเป็นผู้ใช้ปืนยิงผู้ตายจริง เพราะสำนึกผิดและเกรงว่าญาติผู้ตายจะทำร้ายจึงขอเข้ามอบตัว เจ้าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยให้การรับสารภาพ นำชี้ที่เกิดเหตุและให้ถ่ายรูปประกอบคำรับสารภาพดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวคงมีแต่คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวน คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย กับบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุภาพถ่ายประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางที่ใช้ยิงผู้ตายมาเป็นพยาน เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตาย อันจะทำให้ลักษณะบาดแผลของศพผู้ตายสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย พยานที่โจทก์นำสืบมาจึงขาดวัตถุพยานที่ใช้ในการกระทำความผิดคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาที่จะนำมาฟังลงโทษจำเลยได้นั้น โจทก์จะต้องมีพยานประกอบมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริง ทั้งพยานประกอบต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนหรือพยานที่ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน แม้โจทก์จะมี ก. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งนำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนมาเบิกความแต่คำเบิกความของพยานดังกล่าวไม่สอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลย


