ผลสำรวจคนไทยใช้เงินฟุ่มเฟือยจนออมไม่ได้ตามเป้า
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ชี้ คนไทยเน้นออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณมากสุด แต่อุปสรรคสำคัญที่ออมไม่ได้ตามเป้า เพราะใช้เงินเกินตัว
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ชี้ คนไทยเน้นออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณมากสุด แต่อุปสรรคสำคัญที่ออมไม่ได้ตามเป้า เพราะใช้เงินเกินตัว
นางปรัศนีย์ สุระเสถียร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารการเงินการลงทุน บริการธนาคารพิเศษและธนาคารระหว่างประเทศ สายงานบุคคลธนกิจ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จัดทำแบบสำรวจ The Future Priority Report เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรม กระบวนการตัดสินใจ และแนวโน้มความต้องการทางการเงินของกลุ่มลูกค้าธนาคารพิเศษ โดยการศึกษาในครั้งนี้ได้ทำการสำรวจในกลุ่มประชากร 2,700 คนใน 9 ประเทศทวีปเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย
สำหรับเหตุผลหลักในการสร้างเป้าหมายในการออมนั้น พบว่า สองเหตุผลหลักที่พบในกลุ่มตัวอย่างคนไทย คือ เพื่อความมั่นคงทางการเงิน ที่ร้อยละ 28 และเพื่อทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน ที่ร้อยละ 21 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างในเอเชียเน้นหนักในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ร้อยละ 25 และเพื่อเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในชีวิต ร้อยละ 18
โดยเมื่อถามถึงความลำดับความสำคัญในการใช้เงินนั้น พบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวไทยมีวัตถุประสงค์ในการออมเงินเพื่อใช้สำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองและครอบครัว ร้อยละ 27 และเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ ร้อยละ 23 สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยกลุ่มตัวอย่างในเอเชีย ร้อยละ 27 และร้อยละ 17 ตามลำดับ
แต่ผลสำรวจ พบว่า อุปสรรคที่จะทำให้แบบสำรวจไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงเป้าหมายทางการเงินนั้น กลุ่มตัวอย่างชาวไทยกังวลที่จะใช้เงินเกินตัวจนไม่สามารถออมเงินได้เป็นอันดับหนึ่ง ที่ร้อยละ 19 รองลงมาคือสภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แตกต่างจากกลุ่มตัวอย่างเอเชียที่กังวลในเรื่องสุขภาพเป็นอันดับหนึ่งที่ร้อยละ 16 ตามมาด้วยการลงทุนที่ล้มเหลวเป็นอันดับสอง
ทั้งนี้ ในด้านของการใช้บริการการให้คำปรึกษาทางการเงินแบบมืออาชีพนั้นพบว่ากลุ่มตัวอย่างชาวไทยเน้นให้น้ำหนักไปที่การรับบริการคำปรึกษาเพื่อเริ่มธุรกิจส่วนตัวเป็นอันดับหนึ่ง ร้อยละ 67 ตามมาด้วยการลงทุนด้านที่อยู่อาศัย ร้อยละ 60 การสร้างความมั่งคั่ง ร้อยละ 60 และการเตรียมพร้อมทางการเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ ร้อยละ 52 สอดคล้องกับกลุ่มตัวอย่างในเอเชียที่แสวงหาบริการการให้คำปรึกษามืออาชีพจากสถาบันทางการเงินเพื่อการ ริเริ่มธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 62 การเตรียมพร้อมทางการเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ ร้อยละ 58 การสร้างความมั่งคั่ง ร้อยละ 55 และการลงทุนเพื่อที่อยู่อาศัย ร้อยละ 54
ในด้านความสัมพันธ์ที่กลุ่มตัวอย่างมีกับสถาบันทางการเงินนั้นชาวไทยและเอเชียต่างใช้บริการธนาคารในสัดส่วนที่สูง โดยชาวไทยกว่าร้อยละ 72 และชาวเอเชียร้อยละ 68 ใช้บริการจากสถาบันทางการเงิน แต่กระนั้นก็ตามสำหรับบริการธนาคารพิเศษ (‘Priority service’) ชาวเอเชียให้ความสำคัญมากกว่าที่ร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับชาวไทยที่ร้อยละ 10
นอกจากนั้นยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างชาวไทยมีแนวโน้มตัดสินใจลงทุนด้วยตนเองมากกว่าที่จะใช้บริการให้คำปรึกษาจากสถาบันทางการเงิน ตรงกันข้ามกับกลุ่มตัวอย่างเอเชียที่มีแนวโน้มแสวงหาคำปรึกษามืออาชีพเพื่อให้ตนบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดทางการเงิน


