คลุกวงในชาวนาเขมรหวังพึ่งความเล็กยกฐานะ
โดย...อัฏฐวรรณ ลวณางกูร
โดย...อัฏฐวรรณ ลวณางกูร
ชีวิตชาวนาไทยและเพื่อนบ้านย่านนี้คล้ายคลึงกัน ทั้งที่ทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน แต่รายได้กลับไม่พอให้ลืมตาอ้าปาก จะแตกต่างตรงที่ตอนนี้ชาวนาไทยเจอพิษจำนำข้าว ขณะที่เพื่อนบ้านกำลังปรับเข้าสู่โหมดการพัฒนาภาคเกษตรให้ทันสมัย
โดยเฉพาะในกัมพูชาที่ภาครัฐสนับสนุนด้านชลประทานมากขึ้น เพื่อให้ปลูกข้าวได้จำนวนครั้งเพิ่มขึ้น ขณะที่เกษตรกรหันมานิยมใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น เพราะต้องการยกระดับฐานะของตัวเอง เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้เกษตรกรไทยยอมขายวัวควายเพื่อนำเงินไปซื้อ “ควายเหล็ก”
อูย สกเกือน ชาวนาอายุ 54 ปี เจ้าของที่นา 6 ไร่ ในหมู่บ้านกรังสะวาย จังหวัดกันดาล ประเทศกัมพูชา เป็นภาพสะท้อนของเรื่องนี้ จากเดิมที่ทำนาปีละครั้ง มีข้าวพอกินในครอบครัว ไม่เหลือขาย และมีรายได้จากการขายผัก ไก่ และรับจ้าง เฉลี่ยปีละ 2,5003,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็มีเงินเหลือเก็บนิดหน่อย และมีหนี้บ้าง
เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ลุงอูยเพิ่งลงทุนซื้อรถเกี่ยวนวดข้าวคูโบต้า ราคา 2.8 หมื่นเหรียญสหรัฐ ด้วยเงินสดที่ใช้เวลาเก็บมานานถึง 7 ปี เพราะหวังว่าน่าจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 20% จากการรับจ้างเกี่ยวข้าวให้คนอื่น
เพราะทุกวันนี้คนกัมพูชาไม่ค่อยเกี่ยวข้าวด้วยมือแล้ว แม้ว่าแทบทุกครอบครัวจะมีที่น่าเฉลี่ย 69 ไร่ แต่สมาชิกหันไปทำงานในโรงงานผลิตเสื้อผ้ามากขึ้น
หากเทียบกับเมื่อ 5 ปีก่อน ชาวนายังใช้วัวควายและเกี่ยวข้าวด้วยมือ ดำนาเอง และไม่รู้เทคนิคอะไรมากนัก แต่ช่วง 23 ปีมานี้ ชาวนาเขมรหันมาซื้อรถไถและรถเกี่ยวมากขึ้น รวมถึงรู้วิธีที่จะทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ชาวนาบางพื้นที่ยังสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 23 ครั้ง เพราะรัฐส่งเสริมด้านชลประทาน เทคนิคการปรับปรุงข้าว ทำให้ยังมีโอกาสจากการรับจ้างเกี่ยวข้าว
ลุงอูยตั้งใจปลูกข้าวปีละครั้งเหมือนเดิม แค่พอกินในครอบครัว แต่จะเน้นรับจ้างที่รายได้ดีกว่า ในหมู่บ้านก็ยังมีคนเป็นเจ้าของรถเกี่ยวไม่มาก และรับงานข้ามเขตได้ด้วย
หลังจากซื้อรถเกี่ยวนวดข้าว ลุงอูยสามารถเก็บเกี่ยวได้ 150 เฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ เท่ากับ 6 ไร่ 1 งาน) ใช้เวลาช่วงฤดูเก็บเกี่ยวประมาณ 28 วัน คิดค่าบริการ 75 เหรียญสหรัฐต่อเฮกตาร์ สำหรับนาปรัง และ 150 เหรียญสหรัฐ สำหรับนาปี แต่ละวันรับจ้างได้ 35 เฮกตาร์ เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว มีรายได้ตก 250300 เหรียญสหรัฐต่อวัน และเนื่องจากแต่ละจังหวัดมีฤดูทำนาแตกต่างกัน จึงรับจ้างได้ตลอดปี
“ตอนนี้พื้นที่ทำนามีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เพราะแถวนี้อยู่ใกล้ถนนและเขตเมือง ทำให้โรงงานต่างๆ สนใจซื้อที่ดินตั้งกิจการ แต่ยังมีโอกาสจากการรับจ้าง เพราะชาวนากัมพูชายังไม่ได้ครอบครองเครื่องจักรกลมากนัก และตอนนี้ชีวิตก็ดีขึ้น”
ด้าน เวง ลี ก๊วย เจ้าของร้านเส่งเล้ง ผู้แทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์คูโบต้าในกัมพูชา เล่าว่า เริ่มเป็นตัวแทนขายให้คูโบต้ามาตั้งแต่ปี 2547 ช่วงแรกๆ ขายยาก เพราะเกษตรกรกัมพูชาไม่ค่อยรู้จัก จนถึงปี 2552 ได้ขยับเป็นดีลเลอร์ และตอนนี้มี 2 สาขาแล้ว เพราะตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในกัมพูชาโตเร็วมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง ราคาผลผลิตดี และสื่อใหม่ๆ ช่วยเผยแพร่ข่าวสารมากขึ้น
ร้านเส่งเล้งมีโปรแกรมลีสซิ่งเอง โดยมีให้เลือก 2 แบบ คือ จ่ายเป็นรายเดือน และจ่ายหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว รวมทั้งมีบริการหลังการขายและอะไหล่ครบ
“ถ้าการเมืองกัมพูชานิ่งกว่านี้ และมีกฎหมายด้านลีสซิ่งที่เอื้อมากขึ้น ธุรกิจก็น่าจะเติบโตได้อีก แถมยังได้การสนับสนุนจากภาครัฐด้านต่างๆ ให้สามารถปลูกข้าวได้มากครั้งขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลกัมพูชาตั้งเป้าส่งออกข้าวสาร 1.5 ล้านตัน ภายในปี 2558 แต่ถึงขณะนี้ทำได้แค่ 70% ของเป้าเท่านั้น”
เวง ทิ้งท้ายว่า กัมพูชาไม่มีนโยบายอุดหนุนราคาข้าว เหมือนโครงการรับจำนำข้าวของไทย ซึ่งในแง่หนึ่งก็ไม่ได้ช่วยเกษตรกรที่ถูกนายทุนกดราคา แต่อีกด้านหนึ่ง การทำโครงการอุดหนุนเช่นนี้ในระยะยาวก็ย่อมส่งผลกระทบตามมา


