posttoday

แก้กฏหมายเช่าที่ทำนา 2 กระทรวงงัดข้อ...ชาวนารอต่อไป

21 มกราคม 2557

สิทธิณี ห่วงนาค

สิทธิณี ห่วงนาค

เกษตรกรไทยกำลังเจอกับศึกสองด้าน ด้านแรก คือ ไร้ที่ดินทำกิน โดยผลการศึกษาหลายสำนักออกมาตรงกันว่า เกษตรกรไทยกว่า 60% ไร้ที่ดินทำกิน อีกด้านหนึ่ง เกษตรกรที่เช่าที่ดินทำกินกำลังเผชิญปัญหานายทุนที่ดินเริ่มไม่ให้เช่าต่อไป เพราะราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นตามนโยบายจำนำข้าว ทำให้ต้องการที่ดินกลับไปทำเอง ขณะที่กฎหมายการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีเงื่อนไขที่บีบนายทุนมากเกินไป

นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการจากสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า สถานการณ์ที่นายทุนที่ดินบอกเลิกสัญญาให้เช่า เพื่อนำที่ดินกลับไปทำการเกษตรเองจะมีมากขึ้น โดยเกษตรกรกลุ่มที่เดือดร้อนที่สุด หากไม่มีการแก้ไขการเช่าที่ดิน คือ 1.เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง 22 จังหวัด พบว่า 60% เช่าที่ดินทำกิน นโยบายจำนำข้าวเปลือกในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมาก ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา นายทุนเจ้าของที่ดินเริ่มเรียกที่ดินคืน และจ้างบริษัทหรือชาวนาทำนา รวมทั้งทำให้ค่าเช่าสูงขึ้นจากไร่ละไม่กี่ร้อยบาทต่อรอบ เป็น 1,0002,000 บาทต่อไร่ต่อรอบ โดยต้นทุนทำนาของชาวนาที่ตกประมาณ 7,0008,000 บาทต่อไร่ เป็นค่าเช่าถึง 40%

2.กรณีที่นายทุนทำสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมายเช่าที่ดิน และต้องการทำนาเอง จะขอที่ดินคืนจากชาวนาผู้เช่าได้ยาก เพราะกฎหมายกำหนดอายุเช่าไว้ 6 ปี การยกเลิกต้องแจ้งล่วงหน้า 1 ปี และหากจะขายที่ดินต้องขายผู้เช่าก่อน ทำให้ปีต่อๆ มา นายทุนเริ่มให้เช่าโดยไม่ทำสัญญา บางรายบอกเลิกเช่าล่วงหน้า 1 ปี ตามกฎหมายเพื่อจะได้นำที่ดินมาทำเอง

“ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรไทยในอนาคตอันใกล้ไม่เกิน 3 ปีนี้จะได้เห็น คือ ไม่มีที่ดินทำการเกษตร อาจต้องเปลี่ยนอาชีพกันอีกมาก” นิพนธ์ กล่าว

ทั้งนี้ การแก้ไขกฎหมายการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2524 ไม่ได้หมายความว่าจะแก้เพื่อนายทุน แต่เพื่อให้เจ้าของที่ดินไม่รู้สึกว่าถูกรอนสิทธิ และพร้อมจะให้เช่าตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังควรเร่งออก พ.ร.บ.คุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรมด้วย เพราะการลงทุนพัฒนาระบบน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานใช้งบปีละหลายหมื่นล้านบาท กรมชลประทานใช้เวลา 100 กว่าปีได้พื้นที่ชลประทานมา 27 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นบ้านจัดสรร โรงงาน หากรัฐไม่คุ้มครอง ที่ดินการเกษตรจะไปอยู่ในพื้นที่เสื่อมโทรม ทำให้ต้นทุนการเกษตรสูงขึ้น เพราะต้องเสียค่าปุ๋ย ค่าน้ำเพื่อการเกษตร

ชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ได้มีการตั้งคณะทำงานปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 และได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชศึกษาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยพบว่าข้อกำหนดในกฎหมายยังมีความไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อผู้เช่าและเจ้าของที่ดิน เช่น การควบคุมระยะเวลาการเช่านา การบอกเลิกการเช่านา ฯลฯ จึงเสนอแนวทางการเช่าที่ดินที่เหมาะสม เช่น เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดินและผู้เช่านาสามารถตกลงระยะเวลาการเช่าที่ดินใหม่ได้ โดยอาจลดจาก 6 ปี แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการที่มาจากภาคท้องถิ่น รวมทั้งเสนอแนวทางสนับสนุน เช่น การจัดตั้งธนาคารที่ดิน การคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การแก้ไขกฎหมายภาษีที่ดิน กฎหมายปฏิรูปที่ดิน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยยังมีความเห็นแย้งในหลายประเด็น ทั้งในเรื่องการลดเวลาสัญญาการเช่า หรือการให้ตัวแทนท้องถิ่นมาเป็นคณะกรรมการเช่าที่ดิน รวมถึงเห็นว่าอาจยังไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย เพราะเห็นว่าปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น ปริมณฑล หรือในเขตที่ที่ดินมีราคาแพง แต่ในพื้นที่ชนบท กฎหมายยังใช้ได้อยู่

ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ เห็นว่าควรจะแก้ไข เพราะกฎหมายที่ตึงเกินไปจะทำให้นายทุนไม่ให้เช่าที่ดิน และการทำสัญญาเช่าจะไปอยู่นอกระบบมากขึ้น ท้ายที่สุดเกษตรกรจะไม่มีที่ดินทำกิน และทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกมาก การแก้ไขเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์

ผลการศึกษาที่ออกมา แต่สองกระทรวงยังเห็นแตกต่างกัน ทำให้ต้องหารือกันอีกรอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา

เกษตรกรผู้เช่าที่ดินจึงยังต้องรอการแก้ไขต่อไป

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์