ธนาคารออมสิน กับใบสั่งทางการเมือง"ถ้าผิดระเบียบ ก็ให้ไม่ได้"
ทุกรัฐบาลใช้ธนาคารของรัฐ เป็นเครื่องมือในการผลักดันนโยบายให้ประสบความสำเร็จ เป็นการก่อหนี้นอกงบประมาณอย่างแยบยล
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง/กนกวรรณ บุญประเสริฐ
ทุกรัฐบาลใช้ธนาคารของรัฐ เป็นเครื่องมือในการผลักดันนโยบายให้ประสบความสำเร็จ เป็นการก่อหนี้นอกงบประมาณอย่างแยบยล แต่หากได้รับความเสียหายก็ไม่พ้นต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินมาอุดหนุน
ผู้บริหารธนาคารของรัฐคิดค้นแนวทางใหม่ในการลงบัญชีสินเชื่อโครงการรัฐออกมา เพื่อให้รู้ว่าธนาคารรับภาระหรือได้รับความเสียหายจากการสนองนโยบายไปเท่าไหร่ และรัฐบาลจะต้องส่งเงินมาชดเชยความเสียหายนี้อย่างไร
ธนาคารของรัฐที่มีฐานะแข็งแกร่งที่สุดคือ ธนาคารออมสิน ที่ขณะนี้กำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่คลังจะล้วงเงินออกมาใช้ ไม่ว่าจะกู้เงินมาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และโครงการอื่นๆ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจ
วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารของรัฐก็ทำหน้าที่เฉพาะตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย แต่ต้องทำให้นโยบายรัฐบาลสามารถปฏิบัติได้จริง แต่การจะทำตามนโยบายก็จะต้องคิดด้วยว่า พนักงานจะต้องอยู่ได้ ไม่ใช่บริหารขาดทุนและไปลิดรอนสิทธิประโยชน์ของพนักงาน และจะต้องมีเงินกำไรเพียงพอที่จะส่งให้รัฐบาล ซึ่งทั้งสามอย่างนี้จะต้องไปด้วยกัน
“ที่ผ่านมาผมพยายามบาลานซ์ทั้งหมดได้ดี ธนาคารจึงไม่มีปัญหา การปล่อยเงินกู้ให้กระทรวงการคลังไม่ต้องห่วงเพราะคลังค้ำประกัน ส่วนปล่อยกู้ให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง หมู่บ้านละ 1 ล้าน ออมสินให้กู้ไปแปดหมื่นล้าน 810 ปี ก็ได้รับการชำระหนี้คืนหมด
“ผมมีจรรยาบรรณส่วนตัวในการทำธุรกิจว่า จะทำอะไรต้องไม่สุดโต่งอยู่ที่วิธีการจัดการให้เหมาะสม เน้นคุณภาพ กำไรอาจจะไม่มาก แต่เรามีตัวชี้วัด นโยบายหลักๆ เราก็เน้นรายย่อย ธนาคารประชาชนก็ทำอยู่ มีหนี้เสียเล็กน้อยมาก” ผู้อำนวยการออมสิน กล่าว
สำหรับกรณีใบสั่งปล่อยกู้ให้นักการเมืองนั้น วรวิทย์ กล่าวว่า การมีคนฝากเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเราทำงานมานานเป็น 10 ปี คนรู้จักเยอะ แต่ถ้าไม่เข้าหลักเกณฑ์ของธนาคาร ก็จำเป็นต้องปฏิเสธว่าไม่ได้ เขาจะโกรธไหมผมไม่ทราบ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหา บางคนอาจจะมองว่านักการเมืองเลวร้าย แต่อธิบายด้วยเหตุและผล เขาก็รับฟัง
“ตอนที่ผมเรียนหนังสืออยู่ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะอยู่ในการเมือง หรือรับราชการ ผมเรียนมาเพื่อทำการค้า ผมบอกกับพ่อผมชัดเจน ถ้าเราทำงานซื่อสัตย์ โปร่งใส ไม่ต้องกลัว ผมไม่เคยโดนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียกสอบ ผมไม่ได้ดูเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง กระจายงานออกไป อายุผมเพิ่งจะแค่40 ต้นๆ ผมยังมีอายุการทำงานอีกนาน จะทำให้เกิดความเสียหายไปเพื่ออะไร” วรวิทย์ กล่าว
การเปลี่ยนขั้วการเมืองนั้นมีผลต่อคนทำงานแบงก์รัฐแค่ไหน วรวิทย์ ตอบว่า การเมืองเปลี่ยนแปลงตลอด เราทำงานได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะแต่ละยุคก็มีนโยบายที่ต่างกันเปลี่ยนคณะกรมการธนาคาร นโยบายการเปลี่ยน
“ผมคิดว่าผมมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้วนะ ตำแหน่งผู้อำนวยการออมสิน เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติมาก เกินเป้าหมายที่คิดไว้แล้ว ผมเป็นผู้บริหารก็มีสัญญาว่าจ้าง มีการประเมินเคพีไอทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ทุกวันนี้ก็ทำงานรับผิดชอบให้ดีที่สุด ดูแลความเสี่ยง การสนองนโยบายใดๆ ต้องดูความเสี่ยงคู่ไปด้วย หากมันเสี่ยงเกินไปก็ไม่สมควร ธนาคารออมสินมีรากเหง้ายาวนานมา 100 ปีแล้ว ถือเป็นธนาคารที่มั่นคงแข็งแรง และจะต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป” ผู้อำนวยการออมสิน กล่าว


