posttoday

กลุ่มสามมิตรขยายตปท.ส่งบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้นปี"57

23 ธันวาคม 2556

บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำในการออกแบบ พัฒนา ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ

โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง

บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำในการออกแบบ พัฒนา ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ยานยนต์ที่อยู่คู่กับไทยกว่า 50 ปี ถึงตอนนี้เริ่มเข้าสู่การบริหารของผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แล้ว พร้อมกับมีเป้าหมายที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครึ่งปีแรกของปี 2557 ซึ่งหวังว่าจะเป็นบันไดอีกขั้นที่ทำให้บริษัทมีศักยภาพขยายสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้นในอนาคต

m จุดเริ่มต้นสามมิตร

“ดร.เชาว์ โพธิ์ศิริสุข” ประธานกรรมการ บริษัท กลุ่มสามมิตร ที่ปัจจุบันประกอบไปด้วย บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง บริษัท สามมิตรโอโตพาร์ท และบริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ ได้ย้อนเล่าถึงความเป็นมาก่อนที่จะเป็นกลุ่มบริษัท สามมิตร อย่างทุกวันนี้ว่า บริษัทเริ่มต้นจากที่คุณพ่อของ ดร.เชาว์ ได้มีความรู้เรื่องช่างและเคยเป็นผู้จัดการฝ่ายของบริษัท สยามกลการ ของ ดร.ถาวร พรประภา ซึ่งต่อมาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถนิสสัน

คุณพ่อของ ดร.เชาว์ ได้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดสามมิตรรวมกับเพื่อน 3 คน ขึ้นมาเพื่อทำแหนบรถบรรทุกต่างๆ จากที่ผ่านมาเป็นการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศทั้งหมด เพราะเห็นความต้องการใช้มาก เนื่องจากระบบการขนส่งถนนของไทยยังไม่ดี จึงทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้เสียได้ง่ายและต้องเปลี่ยนบ่อย ที่สำคัญราคายังถูกกว่าแหนบที่นำเข้ามามาก และเห็นว่าถ้าทำเหมือนคู่แข่งก็จะไม่มีกำไร

ปี 2502 บริษัทตั้งโรงงานแห่งแรกบนพื้นที่ขนาดโดยใช้วัตถุดิบเหล็กในการนำเข้าทำให้สามมิตรเป็นผู้ผลิตอะไหล่รถรายแรกของเมืองไทย หลังสามมิตรแน่วแน่ว่าจะเป็นผู้ผลิตแหนบเอง จึงให้ความสำคัญสำหรับการศึกษาและพัฒนาสินค้าร่วมกับสถาบันการศึกษา

“ลูกค้าส่วนใหญ่ คือ หน่วยงานราชการของภาครัฐ อย่างกรมป่าไม้ที่จะเปลี่ยนแหนบรถจี๊ปมาก แต่แนวคิดการทำงานที่เน้นการออกแบบ พัฒนา และผลิตแหนบเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานให้ลูกค้าเป็นหลัก ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยคุณพ่อเพราะต้องเข้าป่าครึ่งค่อนวันเพื่อดูและทดสอบการใช้งานจริงว่าหน้างานมีปัญหาอย่างไรบ้าง แล้วพัฒนาให้ตรงความต้องการของลูกค้า เท่ากับเป็นการบริการลูกค้าด้วย” ดร.เชาว์ กล่าว

พอปี 2509 เริ่มธุรกิจรถบรรทุก หรือเทรลเลอร์ มีจุดเริ่มต้นที่ช่วงหลังสงครามจะเห็นทหารสหรัฐใช้รถดัมพ์ขนส่งของบริเวณท่าเทียบเรือ เลยสั่งรถมาถอดประกอบและทดสอบเอง จากนั้นก็เริ่มรับจ้างการผลิตแหนบสำหรับรถขนาดใหญ่ (โออีเอ็ม) โดยผ่านทางบริษัท สยามกลการ จนปี 2524 เริ่มสั่งระบบไฮโดรลิกจากญี่ปุ่น และให้ทีมวิศวกรทางญี่ปุ่นเข้ามาสอนจนเกิดการเรียนรู้และมาปรับเป็นแบบฉบับของตัวเอง พร้อมขยายโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งมีจุดเด่นที่โครงรถมีน้ำหนักที่เบาลง และช่วงนี้เริ่มมีคู่แข่งรายอื่นเข้ามา ต่อมาได้รับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ แต่พอใช้เครื่องจักรทันสมัยผลิตมากขึ้นจนสามารถประกอบตัวถังรถบรรทุกทุกชนิดทุกขนาด ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท

จนในที่สุดก็ก้าวสู่ระดับผู้รับผลิตแม่พิมพ์ชิ้นส่วนรถยนต์ระดับบนสุด คือ มีเทคโนโลยีของตนเองและทำงานใกล้ชิดกับบริษัทรถยนต์ในการออกแบบร่วมกัน (First Tier) ซึ่งทำให้กับรถนิสสันเป็นเจ้าแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากการสร้างทีมงานที่มีความแข็งแกร่งจากที่ไปเรียนรู้งานที่โตโยต้า ณ ประเทศญี่ปุ่น จนภายหลังไปซื้อโนฮาวแม่พิมพ์หรือเครื่องพิมพ์มา และเป็นผู้ผลิตที่มีเทคโนโลยีของตัวเองที่ชัดเจน

m จุดเด่นของสามมิตร

ตลอดระยะเวลาที่สามมิตรทำธุรกิจมา บริษัทมีนโยบายเน้นการปรับระบบการผลิตที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น ทางหนึ่งคือ เน้นการทำวิจัยและการพัฒนา (R&D) ทั้งนี้ เพราะต้องการเน้นการออกแบบให้ตรงกับความต้องการใช้ของลูกค้าเป็นหลัก มากกว่าที่จะเน้นการออกแบบมาเพื่อความสวยงามในทุกผลิตภัณฑ์ ซึ่งการตั้งสาขาต่างประเทศ เพื่อทำ R&D และใช้เป็นฐานการผลิต ขณะเดียวกันการทำโออีเอ็มให้มีกำไรต้องอาศัยการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ให้ได้ เพราะจะทำให้ได้วอลุ่มในการผลิตเป็นตัวผลักดันให้เกิดกำไร

“อยากให้ดูตัวอย่างที่ไต้หวันหรือการผลิตหรือกลุ่มแอปเปิลที่ไม่ได้มีโรงงานเป็นของตัวเอง แต่เน้น R&D ที่ปัจจุบันประสบความสำเร็จมาก เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มีความแตกต่างจากคู่แข่งได้ ปัจจุบันอัตราการกำไรสุทธิสินค้าแบรนด์สามมิตรมากกว่า 10% แต่การรับจ้างผลิตปกติอยู่ที่ 35%” ดร.เชาว์ กล่าว

นอกจากนี้ เรื่องการออกแบบก็สำคัญ เพราะอย่างรถดัมพ์ของบริษัทก็จะเป็นการเน้นตลาดเฉพาะลูกค้าส่วนใหญ่บรรทุกสินค้าประเภททุนที่มีน้ำหนัก ดังนั้นการออกแบบต้องให้พื้นที่ได้ในปริมาณที่มาก และต้องเบามีความคล่องตัวในการขนส่ง ขณะที่หลังคารถกระบะหรือชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ติดไปกับตัวรถกระบะต้องลงตัว ซึ่งตอนนี้กำลังพัฒนาเพื่อไปขายต่างประเทศมากขึ้น โดยคำนึงถึงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของประเทศนั้นๆ ความปลอดภัยและการเอาใจใส่กับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทั้งนี้ ยังต้องเน้นกลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างรถดัมพ์ที่มีการพัฒนามาตลอดกว่า 20 ปี ทำให้มีราคาที่แพงขึ้นและมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มมากกว่า 5070%ทั้งนี้บริษัทใช้งบการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ประมาณ23% แต่ไม่ได้ใช้โฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ แต่เป็นการเปิดช่องทางในการจำหน่ายด้วยการไปเจอลูกค้าในประเทศต่างๆ อย่างอินโดนีเซีย ยุโรป ออสเตรเลีย ซึ่งในอนาคตตลาดที่สำคัญ คือ กลุ่มประเทศในโซนประเทศที่เข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเน้นการเป็นผู้ให้บริการที่ครบวงจร (Service Provider) รวมทั้งยังมีการบริการที่มีพันธมิตรกับศูนย์รถต่างๆ ทั่วประเทศ (CoServive Center) โดยลูกค้าสามารถนำรถเข้าศูนย์ที่ใกล้ในพื้นที่ต่างจังหวัดได้เลย

m ยุควิกฤตอนาคต

ปี 2540 บริษัทมีหนี้ทางการค้าด้วยการเปิดแอลซี สั่งวัตถุดิบหรือนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาเพราะค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นทันที และดอกเบี้ยจ่ายจาก 10% เขยิบเป็น 30% ฉะนั้นหนี้บวกดอกเบี้ยรวมกันเลยทำให้เป็นเงินก้อนใหญ่กว่า 1,000 ล้านบาท

แต่ที่นี่อยู่กันแบบพี่น้องมากกว่า พนักงานแต่ละคนหรือวิศวกรจะไม่มีการเซ็นสัญญาผูกมัดอะไร พอมีปัญหาต้องยุบโรงงานไป 3 แห่ง เหลือ 2 แห่ง และตอนนั้นพนักงานมีทั้งหมด 3,000 คน โดยเป็นทีมพัฒนาเทคโนโลยีกับวิศวกร 10% หรือประมาณ 200300 คน ซึ่งทางเจ้าหนี้บอกให้หั่นงบในกลุ่มพนักงานแบ็กออฟฟิศ ซึ่งรวมถึงฝ่าย R&D ด้วย เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้สร้างรายได้เข้าบริษัท แต่พนักงานส่วนใหญ่ยอมอยู่กับบริษัทต่อไปด้วยการขอลดเงินเดือนเหลือเพียง 50% หรือบางคนออกไปก่อนแล้วบอกว่า ถ้าบริษัทมีความพร้อมก็ค่อยเรียกพวกเขากลับมาทำงานได้ จนเหลือทีมนี้ 100 คน

ต่อมาเจ้าหนี้ต้องการให้แปลงหนี้เป็นทุน มีกำหนดจะต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2551 แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะปีนั้นเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์จากสหรัฐ และตอนนั้นหลายอุตสาหกรรมรวมถึงยานยนต์ก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ทำให้บริษัทต้องขอลดหนี้ (Hair Cut) และรวมเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ ธนาคารกรุงเทพ ที่ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัท 30%

อย่างไรก็ดี สามมิตรมีแผนที่จะล้างหนี้ให้หมดภายในสิ้นปีนี้ ก่อนที่จะกำหนดเสนอขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) เพื่อจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 โดยจะขายหุ้นไอพีโอออกไปในสัดส่วน 25% จากทุนจดทะเบียนที่มีทั้งหมด 500 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ส่วนหลังจากนี้ธนาคารกรุงเทพจะลดสัดส่วนถือหุ้นเท่าไรนั้น ต้องรอที่ปรึกษาทางการเงินพิจารณา

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการส่งออก 5% แต่ในอนาคตต้องขยายสัดส่วนการผลิตหลังคารถกระบะให้ได้ 80% ของตลาดโดยรวม เพราะบริษัทเห็นช่องทางขยายตลาดได้อีกมากทั้งในออสเตรเลีย ยุโรป และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เริ่มให้ความสำคัญในการผลิตเพื่อสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ และบริษัทได้ตั้งเป้าว่าการผลิตหลังคารถกระบะเหล็กภายใต้แบรนด์สามมิตรจะต้องเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ภายในปี 2563

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายการผลิตชิ้นส่วนรถต่างๆ ไปตามภูมิภาคต่างๆ ในเออีซี ซึ่งน่าจะเห็นในอินโดนีเซียก่อนแต่คนละโมเดลที่ทำในไทย เพราะการกระจายฐานการผลิตจะช่วยริหารต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้น (Economy of Scale) ตอนนี้ผลิตได้วันละ 40คัน/วัน แต่เป้าหมายปีหน้าอยู่ที่ 45 คัน/วัน

สำหรับช็อปต่างๆ จะเพิ่มบริการแนะนำลูกค้ามากขึ้น และพัฒนาให้เป็นออโต้โมบายเซอร์วิส เพราะได้ร่วมมือวิจัยพัฒนาเครื่องยนต์และอุปกรณ์ดัดแปลงเครื่องยนต์ CNG กับทางโตโยต้า และบริษัท ปตท. ทำให้ในอนาคตบริษัทสามารถขยายตลาดกลุ่มบริษัทที่ต้องการลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสติกส์ n

 

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ