"สินค้าเกษตร"พระเอกส่งออกไปจีนปี57
เทรนด์ส่งออกไทยไปจีนปีม้า 2557 สินค้าเกษตรตอบโจทย์ สินค้าอุตสาหกรรมปรับตัว
เทรนด์ส่งออกไทยไปจีนปีม้า 2557 สินค้าเกษตรตอบโจทย์ สินค้าอุตสาหกรรมปรับตัว
การเปลี่ยนผู้นำจีนในปี 2556 นับเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัวตามการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ประกอบกับปัจจัยการชะลอตัวเฉพาะด้านของสินค้าบางรายการ ทำให้การส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ให้ภาพของการหดตัวที่ร้อยละ 0.9 (YoY) แม้ว่าในช่วงไตรมาส 3 จะทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าจะมีแรงส่งถึงในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ตามการเร่งสะสมสต็อกในจีน แต่ด้วยฐานที่ค่อนข้างสูงในช่วงดังกล่าว ทำให้อาจยังมีแรงดึงไม่เพียงพอ ท้าทายการเติบโตตลอดปี 2556 ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อาจหดตัวใกล้เคียงร้อยละ 1.0 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 26,600 ล้านดอลลาร์ฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2557 หรือปีม้าที่จะถึงนี้ น่าจะได้อานิสงส์จากการปรับตัวของปัจจัยภายในประเทศที่น่าจะเอื้อให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้นและแรงส่งของประเทศคู่ค้าของจีน น่าจะช่วยดึงให้การส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพโดดเด่นของไทยทั้งสินค้าเกษตร (ยางพารา มันสำปะหลัง และผลไม้) และสินค้าอุตสาหกรรม (เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ไม้และผลิตภัณฑ์) ประกอบกับผลของฐานการส่งออกในปี 2556 ที่ค่อนข้างต่ำ น่าจะช่วยเสริมภาพรวมการส่งออกของไทยไปจีนปี 2557 สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ราวร้อยละ 3.3 มีมูลค่าประมาณ 27,500 ล้านดอลลาร์ฯ โดยมีกรอบประมาณการขยายตัวร้อยละ +0.5 ถึง +7.5 มูลค่า 26,700 – 28,600 ล้านดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นในระยะข้างหน้าอาจส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยที่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของจีนต้องปรับตัวตาม
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนเข้มข้นในปีม้า ... ชี้สัญญาณสินค้าส่งออกไทยปรับตัว
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนมีทิศทางเข้มข้นขึ้นนับจากนี้ จากการย้ำจุดยืนในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรมคอมมิวนิสต์ชุดที่ 18 ครั้งที่ 3 (The Third Plenary Session of 18th CPC Central committee) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับความเป็นเมือง เสริมสร้างสมดุลและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจากภายในประเทศ ควบคู่กับการผลักดันเศรษฐกิจจีนสู่เวทีโลก ซึ่งทางการจีนได้ทยอยเปิดเผยนโยบายและหลากมาตรการเพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ในเบื้องต้นได้เห็นถึงนโยบายที่ชี้ถึงสัญญาณการให้ความสำคัญกับคุณภาพการผลิตและการบริโภคในจีน ซึ่งผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนต้องปรับตัวให้ทันกับแนวทางการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
--> พัฒนาระบบโลจิสติกส์เชื่อมความเป็นเมือง เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่ง จากที่จีนมีต้นทุนอยู่ในระดับค่อนข้างสูงราวร้อยละ 18 ของ GDP ในปี 2555 (ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ร้อยละ 11.2 ของ GDP) โดยกระทรวงพาณิชย์จีนเตรียมแผนให้การสนับสนุนอุปกรณ์ด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคในพื้นที่ต่างๆ และเป็นตัวเสริมช่วยกระจายความเป็นเมืองสู่พื้นที่ฝั่งตะวันตกและตอนกลางของจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวส่งผลทางดีทางตรงต่อการกระจายสินค้าไทยสู่พื้นที่ต่างๆ ของจีนโดยสะดวก ช่วยลดภาระด้านการขนส่งมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้ส่งผลทางอ้อมผ่านการเติบโตของความเป็นเมืองช่วยหนุนนำการบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่จีนได้มากขึ้นตามไปด้วย
--> ปฏิรูปภาคเกษตรกรรมยกระดับการผลิต เสริมความมั่นคงทางอาหาร โดยให้ความสำคัญกับปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรต่อไร่ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงการจัดหาตลาดและกระจายสินค้าเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมาตรการดังกล่าวต้องอาศัยระยะเวลา แต่หากการผลิตดำเนินไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะน้ำตาลทรายที่ขณะนี้ไทยมีข้อได้เปรียบด้านราคาที่ต่ำกว่าสินค้าน้ำตาลทรายที่ผลิตในประเทศจีน ขณะที่สินค้ามันสำปะหลัง และยางพารา อาจได้รับผลกระทบบ้างแต่ก็น่าจะยังทำตลาดได้อยู่เนื่องจากเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ในหลายสายการผลิตของจีน
--> ปฏิรูปภาคอุตสาหกรรรมสู่การผลิตที่เน้นเทคโนโลยีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในช่วงที่ผ่านมาทางการจีนให้ความสำคัญในการลดมลภาวะที่เกิดจากกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยมีมาตรการหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการปรับลดกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม ให้การสนับสนุนแก่ภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน แนวทางดังกล่าวบ่งชี้ถึงเทรนด์การผลิตสินค้าของจีนที่เน้นเทคโนโลยีและการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (อาทิ รถยนต์พลังงานทางเลือก) สะท้อนว่าสินค้าไทยควรตระหนักและให้ความสำคัญกับแนวทางดังกล่าว จะช่วยเอื้อให้สินค้ามีความน่าสนใจและสร้างโอกาสเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น
--> เพิ่มประสิทธิภาพกลไกตลาด ลดการผูกขาด และให้ความคุ้มครองผู้บริโภค เป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศโดยอ้อม ช่วยโน้มนำการบริโภคสินค้าไทยเติบโตตามไปด้วยในระยะต่อไป จากการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่กระบวนการผลิตมากขึ้น สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ในเบื้องต้นมีนโยบายมุ่งให้สำคัญกับการควบคุมราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันราคาถูกกำหนดโดยผู้ประกอบการเพียงไม่กี่ราย ได้แก่ อุตสาหกรรมอากาศยาน การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค การผลิตรถยนต์ การโทรคมนาคม การผลิตสินค้าเภสัชกรรม และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ของจีน (จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2557) ซึ่งให้ความคุ้มครองครอบคลุมผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่าน E-commerce ที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว
--> ปฏิรูปด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยกระทรวงการคลังของจีน (18 พฤศจิกายน 2556) ได้จัดสรรงบประมาณ 4.8 พันล้านหยวน สนับสนุนด้านวัฒนธรรมอันเป็นรากฐานในการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมของประเทศ และการผ่อนคลายนโยบายลูกคนเดียวให้มีลูก 2 คนได้ อันจะเป็นกลไกผลักดันการบริโภคในตลาดจีนที่สำคัญนับจากนี้ เอื้อประโยชน์ต่อสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ของไทยเข้าสู่จีน โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับแม่และเด็ก อาทิ นมผงสำหรับทารก ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศจะได้รับการตอบรับและความเชื่อมั่นที่ดีกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ
นับจากปี’ 57 สินค้าไทยเกาะกระแสส่งออกตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจีน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นแนวทางผลักดันการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่กับการให้ความสำคัญเชิงคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศเพื่อเป็นแรงส่งเศรษฐกิจที่สำคัญ ส่งผลให้เกิดการปรับตัวของผู้ประกอบการในจีนในการจัดสรรทรัพยากรการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในระยะเริ่มแรกการส่งออกของไทย อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เริ่มได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวบ้างแล้ว ขณะที่สินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มวัตถุดิบขั้นต้นยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการในห่วงโซ่การผลิตของจีนในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่ในระยะยาวคงเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้สินค้าไทยยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในจีนได้ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นนับจากนี้ไป
ยางพารา 13% ผลิตภัณฑ์ยาง 8.7% แนวโน้ม: เป็นสินค้าศักยภาพ เติบโตต่อเนื่องรองรับภาคการผลิตและการบริโภคของจีนที่มีแนวทางแข็งแกร่ง
- กำลังการผลิตในจีนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการจึงต้องพึ่งพาการนำเข้า
- เป็นสินค้าที่นำไปแปรรูปเป็นถุงมือยาง ถุงมือแพทย์ และส่วนประกอบสินค้าหลากหลาย รวมทั้งเข้าสู่สายการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จีนเป็นผู้ผลิตที่สำคัญของโลก ซึ่งกำลังขยายตัวน่าจับตา
- การจำกัดการซื้อรถยนต์บริเวณพื้นที่เศรษฐกิจหลักของจีนอาจไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์มากนัก เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อในพื้นที่อื่นๆ ของจีนเพิ่มขึ้น
- ความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนมีแนวทางสนับสนุนการค้ายางพารากับไทย
เคมีภัณฑ์ 12.3% เม็ดพลาสติก 10.4% น้ำมันสำเร็จรูป 6.2% เครื่องใช้ไฟฟ้า/ส่วนประกอบ 2.4% น้ำมันดิบ 1.9% แผงวงจรไฟฟ้า 1.8% มอเตอร์ 1.3% เครื่องจักรกล/ส่วนประกอบ 1.0% แนวโน้ม: เติบโตตามภาคการผลิตในจีน เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่ต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
- เป็นสินค้ากลุ่มวัตถุดิบที่นำไปแปรรูปเพื่อเป็นส่วนประกอบและสินค้าขั้นกลางในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงเป็นสินค้าที่น่าจะยังเติบโตได้ตามภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน และไทยเป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตที่มีประสิทธิภาพในการผลิตส่วนประกอบสินค้ากลุ่มเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
- ทั้งภาคการผลิตและการบริโภคเติบโตควบคู่กับการขยายความเป็นเมือง จึงหนุนนำความต้องการสินค้าวัตถุดิบขั้นต้นและขั้นกลางเติมเต็มสายการผลิต ตลอดจนสินค้าสำเร็จรูปขั้นปลายที่อาจตอบโจทย์ผู้บริโภคบางกลุ่มได้
- ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปี 2557 มีแนวโน้มอาจปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2556 มีผลผลักดันราคาสินค้าในกลุ่ม เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และน้ำมัน เพิ่มขึ้นตาม
- ข้อควรระวัง จีนเริ่มยกระดับการผลิตที่เน้นคุณภาพสูงขึ้น ทำให้สินค้าวัตถุดิบขั้นกลางของไทยอาจต้องแข่งขันกับสินค้าจีนและคู่แข่งจากต่างประเทศในระยะข้างหน้า จึงควรปรับตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อาทิ ยกระดับการผลิตหรือแปรรูปสู่กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่สินค้า
เครื่องคอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ 10.3% แนวโน้ม: เป็นสินค้ากลุ่มเสี่ยงที่อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปี 2556 โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องประมวลผล/คอมพิวเตอร์พกพา/แท็บเล็ต ที่สายการผลิตในจีนเองเริ่มแข็งแกร่งจากการขยายการผลิตของเจ้าของแบรนด์ระดับโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
- คู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์ ทำตลาดในจีนได้มากขึ้น
- การปรับตัว ควรหาตลาดใหม่ ขณะเดียวกันหากปรับการผลิตไปสู่สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นอาจตอบโจทย์ตลาดจีนได้มากขึ้น
ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 7.1% แนวโน้ม: เป็นสินค้าศักยภาพที่ยังคงเติบโต ตอบโจทย์ด้านพลังงานทางเลือกและได้แรงสนับสนุนจากรัฐบาล
- กำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ พึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งกว่าร้อยละ 70 ของการนำเข้ามันสำปะหลังของจีน ตามมาด้วยเวียดนาม และอินโดนีเซีย
- รองรับภาคพลังงานทดแทนที่ทางการจีนให้การสนับสนุนเสริมความมั่นคงทางพลังงาน
- ความตกลงซื้อมันสำปะหลังระหว่างรัฐบาลไทยกับจีน 9 หมื่นตัน (20 พฤศจิกายน 2556)
- ข้อควรระวัง สินค้าไทยควรควบคุมมาตรฐานสินค้าให้เป็นไปตามข้อกำหนดของทางการจีน เช่น สิ่งปลอมปน และฝุ่นละออง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการแปรรูปก่อนเข้าสู่ตลาดจีน
- ในระยะข้างหน้า การปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรมหากเติมเต็มการผลิตในจีนได้มากขึ้น อาจลดการนำเข้าจากต่างประเทศลง
ไม้/ผลิตภัณฑ์ไม้ 4.3% แนวโน้ม: สินค้าศักยภาพสูงรองรับการเติบโตด้านการบริโภคตามการขยายตัวของความเป็นเมือง
- จีนนำเข้าจากไทยมากเป็นอันดับ 5 รองจาก รัสเซีย สหรัฐฯ แคนาดา และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ
- ในฝั่งการส่งออกของไทยนับว่าเติบโตอย่างน่าจับตา
- ข้อควรระวัง คู่แข่งในอาเซียนเริ่มเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม และสปป.ลาว
ผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/แห้ง 1.7% แนวโน้ม: เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยคุณสมบัติและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- ผลไม้ไทยเป็นที่นิยมในจีน และเป็นสินค้าคนละชนิดกับที่จีนผลิตได้
- การเติบโตของความเป็นเมืองและเส้นทางการขนส่งสินค้าที่สะดวกรวดเร็วหนุนนำผลไม้ไทยสู่พื้นที่ตอนในของจีนได้มากขึ้น
- การเจาะตลาดพื้นที่ใหม่ๆ และใช้วิธีขนส่งที่รวดเร็ว ช่วยคงความสดของผลไม้ จะช่วยให้เพิ่มโอกาสในการทำตลาดในจีนได้
ข้าว 0.7% แนวโน้ม: เติบโตจากแรงสนับสนุนของภาครัฐบาลเป็นสำคัญ
- พื้นที่ตอนเหนือของจีนเน้นการบริโภคข้าวเมล็ดสั้น ขณะที่ข้าวไทยเป็นข้าวเมล็ดยาว จึงทำตลาดได้เฉพาะตอนใต้ นอกจากนี้ คู่แข่งที่สำคัญ คือ เวียดนาม ปากีสถาน
- ความตกลงระหว่างรัฐบาลในการซื้อข้าวจากไทย 1.2 ล้านตัน (20 พฤศจิกายน 2556)
- ข้อควรระวัง ในระยะข้างหน้า การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมเพื่อสร้างเสถียรภาพในการผลิตสินค้าเกษตร มีผลต่อการจำกัดการนำเข้าจากไทย
น้ำตาลทราย 0.5% แนวโน้ม: ขึ้นอยู่กับภาวะการผลิตในประเทศ และการกำหนดโควต้าของรัฐบาลจีน
- การขาดประสิทธิภาพการผลิตในจีนสร้างโอกาสให้แก่ไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดโควต้าของรัฐบาลจีนเป็นสำคัญ
- ข้อควรระวัง ในระยะข้างหน้า การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมมีผลต่อการจำกัดการนำเข้าจากไทย อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปขยายฐานการผลิตน้ำตาลทางตอนใต้ของจีนก็อาจได้อานิสงส์จากการสนับสนุนของทางการจีนไปพร้อมกัน
สินค้าใหม่น่าสนใจ : การบริโภคในจีนเติบโตหนุนสินค้ากลุ่มใหม่เข้าสู่ตลาด
สินค้าอุปโภคบริโภค: ผลไม้กระป๋อง เครื่องดื่ม อาหารทะเลกระป๋อง หมากฝรั่งและขนม ผลิตภัณฑ์ข้าว อัญมณี/เครื่องประดับ เครื่องกีฬา/เกม เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์
สินค้าในสายการผลิตภาคอุตสาหกรรม: ด้าย/เส้นใยประดิษฐ์ เครื่องตัดต่อและป้องกัน เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ หม้อแบตเตอรี่ อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับจุดระเบิดเครื่องยนต์
แนวโน้ม : มีโอกาสเติบโตมากขึ้น โดยมีภาคการบริโภคในจีนเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ
- ส่วนใหญ่เป็นสินค้าขั้นสุดท้ายและส่วนประกอบในสายการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่นอกเหนือจากความจำเป็นในชีวิตประจำวัน สะท้อนศักยภาพการบริโภคของคนจีน เช่น อาหารทานเล่น เสื้อผ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าและอะไหล่ยานยนต์
- สินค้าดังกล่าวเติบโตต่อเนื่องสวนทางกับสินค้าอื่นๆ และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้น
- เมื่อมองจากการส่งออกของไทยไปยังต่างประเทศในแต่ละกลุ่มสินค้า จะเห็นถึงความสำคัญของจีน อาทิ ไทยส่งออกสินค้าหมากฝรั่งและขนมไปยังจีนเป็นตลาดอันดับ 1 ของไทยในปัจจุบัน มีสัดส่วนร้อยละ 17 ของการส่งออกหมากฝรั่งและขนมทั้งหมดของไทย (จากอันดับ 23 ในปี 2553) ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับสินค้าอื่นๆ ที่มีจีนเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญมากขึ้น
- นโยบายผ่อนคลายให้ครอบครัวในจีนมีลูกได้ 2 คน มีส่วนสำคัญกระตุ้นการบริโภคในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะ สินค้าในกลุ่มแม่และเด็ก สินค้าสุขภาพต่างๆ ซึ่งปัจจุบันสินค้าไทยที่ส่งไปจีนยังมีค่อนข้างน้อย
โดยสรุป นอกจากการเติบโตทางตัวเลขของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงตามการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ในช่วงแรกของการปรับตัวอาจสร้างความหวั่นไหวแก่ผู้ประกอบการไทยที่มีจีนเป็นตลาดส่งออกหลักอาจได้รับผลกระทบเติบโตช้าลง แต่ในระยะข้างหน้าทิศทางเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมีเสถียรภาพจะช่วยหนุนนำภาพรวมการส่งออกของไทยเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวเตรียมพร้อมไปกับรายละเอียดของมาตรการอันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากในอดีต ภายใต้ความมุ่งมั่นของผู้นำจีนคนล่าสุดในการพลิกโฉมประเทศจีนนับจากนี้ อาจสร้างทั้งโอกาสและส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยหลายชนิดตอบรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่


