“หมวยอริสรา กำธรเจริญ” ลงทุนเพื่อความมั่นคง
“หมวยอริสรา กำธรเจริญ” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรหญิงหลายรายการ รวมทั้งเป็นอาจารย์สอนที่คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันที่เธอเรียนตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
“หมวยอริสรา กำธรเจริญ” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรหญิงหลายรายการ รวมทั้งเป็นอาจารย์สอนที่คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันที่เธอเรียนตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
เธอเป็นมือเก่าที่เคยผิดพลาดอย่างมหันต์เมื่อปี 2547 เพราะไม่มีเวลาในการศึกษาข้อมูลและหลงเชื่อเจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์ที่แนะนำให้ซื้อก็ซื้อ โทรมาบอกให้ขายก็ขาย เพื่อนฝูงว่าเช่นนั้นก็ลงทุนตามเขาไป เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนไปตามกระแสที่ว่าใครว่าอย่างไร ลักษณะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นแบบซื้อมาเพียง 2 วันก็ขาย หรือ 12 สัปดาห์ก็ขายไป จนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจล้างพอร์ตไปด้วยเงิน 7 หลัก
“หมวย” ได้กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง ด้วยการซื้อกองทุนรวมเมื่อปี 2553 คราวนี้เป็นการลงทุนที่ให้น้องชายช่วยดูแลพอร์ตการลงทุน เพราะมีเวลาศึกษารายละเอียดมากกว่าเธอ
สำหรับเงินที่ใช้ลงทุนก็จะดูว่าปีนี้มีเงินที่สามารถนำมาลงทุนได้เท่าไร ต้องเป็นเงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนแนวคิดการลงทุนจะมองว่า ถ้ามีเงินสักก้อนก็อยากเอาเงินนั้นไปทำธุรกิจอะไร แต่แทนที่จะเอาเงินไปทำธุรกิจนั้น ก็เอาไปซื้อหุ้นตัวนั้นแทน แล้วก็คอยดูธุรกิจนั้นเติบโต
“หมวย” มีวิธีเลือกหุ้นที่ได้เปรียบทางธุรกิจ มีการเติบโตและสามารถขยายสาขาได้ ในช่วงราคาที่เหมาะสม ซึ่งปกติหุ้นกลุ่มนี้ไม่ค่อยมี เพราะจะปรากฏในช่วงเวลาที่แย่และไม่คาดฝัน ถึงจังหวะนั้นก็จะเข้าไปซื้อสะสมทันที
นอกจากนั้น ยังลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง เช่น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) หรือหุ้นที่การจ่ายปันผลดีและยังมีการเติบโต เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มธุรกิจโรงแรมท่องเที่ยว หรือบางกลุ่มที่แม้ตอนนี้ราคาหุ้นและผลประกอบการยังอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่แนวโน้มธุรกิจต้องมีการฟื้นตัวในอนาคต เช่น กลุ่มเดินเรือ และกลุ่มประกันภัย
“หมวย” มีแนวคิดการลงทุนเหมือนน้องชายว่า ถ้าจะต้องเจ๊งไปกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่จะเกิดขึ้นก็ยอม เพราะถือเป็นบทเรียนที่เราจะได้จากการถือหุ้นตัวหนึ่ง แม้ว่าก่อนที่จะซื้อหุ้นตัวใด มีการพิจารณาและคัดเลือกหุ้นตัวนั้นอย่างถี่ถ้วนมาแล้วก็ตาม
“การหยุดขาดทุนมันทำให้เราลำพองและไม่รอบคอบ ทำให้เราคิดว่า เอาน่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไปลงตัวใหม่ หรือเอาตัวโน้นมาใส่ตัวนี้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรารู้สึกว่ามันอันตราย ทำให้เราบุ่มบ่าม”
เธอยกตัวอย่างว่า หากลองคิดอีกทางหนึ่ง เช่น หากมีเงิน 2 แสนบาท แล้วต้องการเปิดร้านเสริมสวยจึงเริ่มลงทุนไปเช่าที่ จ้างลูกน้อง ซื้ออุปกรณ์จำนวนมาก พอขาดทุน 2 หมื่นบาท หรือประมาณ 10% แล้วจะขายร้านนั้นทิ้งหรือ แล้วไปทำธุรกิจอื่น เช่น ขายเสื้อผ้า แทนไหม และถ้าเราทำอย่างนี้ไป 34 ครั้ง เงิน 2 แสนบาท ที่มีอยู่ก็คงเหลือ 1 แสนบาทเท่านั้น
ส่วนเรื่องตลาดหุ้น การขึ้นลงของราคาหุ้นเหมือนเป็นเพียงสิ่งรบกวนมากกว่า ซึ่งปกติการที่จะเลือกลงทุนหุ้นตัวไหนแล้วก็พร้อมที่จะอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยๆ เพราะถ้าจะเจ๊งก็เจ๊งด้วยกัน และปกติก็จะเอาเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนต่อ
สำหรับการทบทวนพอร์ตการลงทุนจะนิยมทำเป็นรายไตรมาสและรายปี และเปรียบเทียบข้อมูลในหลายปีด้วย จะทำให้เห็นภาพของธุรกิจนั้นชัดเจนขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตราผลตอบแทนที่ได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจและสูงกว่าระดับดัชนีตลาดหุ้น
นอกจากนั้นก็มีการลงทุนในกองทุนรวมด้วย ซึ่งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองไหนครบอายุ 5 ปีแล้ว ก็มักจะถอนเพื่อไปพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ก่อน และรอพิจารณาว่าจะนำเงินนี้ไปลงทุนอย่างไรต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การซื้อกองทุนรวมก็เพื่อการออมและการไว้หักภาษี โดย LTF ที่เลือกส่วนใหญ่จะเลือกกองที่ลงทุนในหุ้น 70% ของพอร์ต และยังเลือกกองที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วย เพราะเชื่อว่าในระยะเวลา 5 ปี โอกาสความผันผวนย่อมมี
ส่วนการซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ก็กระจายสินทรัพย์ในแต่ละกอง เช่น กองทุนที่ลงทุนในหุ้น ทองคำบ้าง หรือตราสารหนี้บ้าง อย่างละเท่าๆ กัน ซึ่งในอนาคต 510 ปี ถ้ากองไหนขึ้นก็อาจจะขายกองนั้น มาซื้อกองที่ราคาตก เช่น ถ้ากองหุ้นตก ก็จะขายกองตราสารหนี้ มาซื้อกองหุ้น
“หมวย” บอกว่า แม้เธอจะซื้อทั้งกองทุนรวมและหุ้นอยู่แล้ว แต่พอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ 6070% ยังเป็นการฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ และเงินเดือนที่ได้จากการเป็นอาจารย์ทั้งหมด เธอเลือกที่จะฝากไว้กับสหกรณ์ของทางมหาวิทยาลัยหมดเลย เพราะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าฝากเงินในธนาคารมาก
นอกจากนี้ หมวยบอกว่า การที่เธอเก็บเงินลงทุนมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพื้นฐานนิสัยของเธอเก็บเงินไว้ก่อนแล้วค่อยใช้ อีกทั้งเป็นคนที่ไม่ค่อยมีรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยเท่าไร มีบ้างที่ซื้อของที่อยากได้ แต่ก็จะไม่ทุ่มกับความอยากทุกครั้งไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมารู้ว่าเราทำงานมากมันเหนื่อยแค่ไหน ก็เลยไม่ค่อยกล้าไปใช้ในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยมาก
“หมวย” เป็นคนมีค่าใช้จ่ายพวกกระจุกกระจิกน้อย ส่วนการลงทุนก็เลือกเอาเงินในส่วนที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันไปลงทุน ลงทุนไว้ 3 ปี 5 ปี หรือนานๆ ได้เลย และไม่ได้หวังว่าจะต้องได้กำไรหรือมีรายได้พอกพูนจากเงินก้อนที่ลงทุนไป เป้าหมายของการลงทุนเพื่อให้มีความมั่นคงและมั่งคั่งได้ในอนาคต และยอมรับได้ว่าต้องใช้เวลานานกว่าเงินก้อนนั้นจะให้ผลตอบแทนที่มั่งคั่งในชีวิตได้” หมวยสรุปแนวทางการลงทุนของเธอให้ฟัง


