"กะทิชาวเกาะ" และ 34 ปีบนเส้นทางธุรกิจของ ‘เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร’
8...อินทรชัย พาณิชกุล
แม้จะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย กะทิยังคงถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในการปรุงอาหารไทย ไม่ว่าต้ม ผัด แกง หรือแม้แต่นำไปใส่ในขนมไทยนานาชนิด อาจเป็นเพราะกลิ่นหอมหวานและรสชาติกลมกล่อมละมุนละไมนี่เองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้ใครๆ ก็พากันหลงเสน่ห์ติดอกติดใจ
สำหรับบ้านเรา เมื่อพูดถึงกะทิหลายคนนึกไปถึงน้ำกะทิชาวเกาะ (Chaokoh) ผลิตภัณฑ์กะทิสดจากมะพร้าวในรูปแบบกล่องยูเอชทีรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับการคัดสรรอย่างดี ผ่านกระบวนการผลิตที่ยังคงความสดและรสชาติให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ สามารถเก็บได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น
แบรนด์กะทิชาวเกาะถือเป็นเบอร์หนึ่งด้านกะทิสำเร็จรูปยูเอชทีที่ได้รับการไว้วางใจจากทุกครัวไทยมายาวนานกว่า 30 ปีแล้ว
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง ผู้ผลิตและจำหน่ายกะทิชาวเกาะ บอกสั้นๆ แต่กินความหมายแจ่มชัดว่าต้องใช้ความมุ่งมั่น อดทน และฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามมาอย่างยากลำบากแสนสาหัส
“
ผมเป็นลูกคนที่ 4 จากพี่น้อง 5 คน ฐานะทางบ้านค่อนข้างลำบาก พ่อกับแม่ (อำพลและจรีพร เทพผดุงพร ผู้ก่อตั้งบริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว) หาเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจเล็กๆ คือค้าขายมะพร้าว แต่ละวันแม่ผมต้องแจวเรือมาจอดขายมะพร้าวที่สี่แยกมหานาคตั้งแต่เช้าจดเย็น ส่วนพ่อทำตลาดขายส่งในเมือง วันๆ หนึ่งขนมะพร้าววันละ 3,0004,000 ลูกไปขาย ช่วงนั้นลูกทุกคนไม่ได้อยู่อย่างสบาย ทุกคนต้องช่วยทำงานหมด เรียกว่าเหนื่อยมาตั้งแต่เด็ก แต่พอผ่านมาระยะหนึ่ง กิจการเริ่มโตวันโตคืน ฐานะทางบ้านก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มีตึกหลายหลัง มีเรือลำใหญ่หลายลำไว้บรรทุกมะพร้าว จนขยับขยายส่งขายไปยังที่ต่างๆ”แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผัน เมื่อเกรียงศักดิ์ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รบเร้าให้พ่อและแม่เปลี่ยนจากขายมะพร้าวลูกมาทำกะทิพาสเจอไรซ์ เพราะเล็งเห็นว่ารายได้ของครอบครัวเริ่มคงที่ ไม่สูงขึ้นเหมือนก่อน เนื่องจากเกษตรกรเริ่มมีรถขนส่งได้เอง ไม่ต้องอาศัยเรือไฟเหมือนในอดีต
เด็กหนุ่มวัย 20 ต้นๆ คนนี้ใช้เวลาอ้อนวอนอยู่เป็นปีจนคุณแม่จรีพรใจอ่อน ควักเงินลงทุนไปประมาณ 3 ล้านบาท สร้างโรงงานชาวเกาะ จ้างคนงานเกือบ 100 คน แต่เมื่อลงมือทำก็ขาดทุน เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ที่คนไม่กล้าซื้อ เพราะสังคมไทยยุคนั้นคุ้นชินกับการใช้กะทิสดทำอาหาร
“
ช่วงแรกขายไม่ได้เลย สมัยนั้นคนเขารับประทานกะทิสดๆ กัน เลยบอกว่าจะมาทำกะทิถุงให้เจ๊งทำไม”ทุกๆ วันคนในครอบครัวเทพผดุงพรต้องกลับมานั่งร้องไห้ ปรึกษากัน และถึงแม้เกรียงศักดิ์เสียใจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยท้อแท้ ฮึดเดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อสร้างแบรนด์ชาวเกาะ ทั้งติดป้ายโฆษณา ตระเวนทำอาหารจากกะทิให้คนชิมตามต่างจังหวัด มานะบากบั่นผ่านความยากลำบาก จนในที่สุดตลาดกะทิสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง
บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 และกินเวลานานหลายปีกว่าที่กะทิสำเร็จรูปยูเอชทีตรา
“ชาวเกาะ” (Chaokoh) จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างแพร่หลายอย่างในปัจจุบัน“
บ้านเรานิยมใช้กะทิคั้นสดๆ อยู่ดีๆ ก็มีคนทำกะทิมาใส่กล่อง มันเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค เขาก็กลัวไม่แท้ ไม่สด รสชาติอาหารจะเปลี่ยน เราก็พยายามแก้ไขทัศนคติตรงนั้นให้ได้ อุปสรรคใหญ่ที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อและทัศนคติที่มีอยู่ดั้งเดิม เราก็โหมทั้งโฆษณาลงทีวี ไปตระเวนสาธิตทำอาหารให้คนชิม ใช้เวลาหลายปีเลย ช่วงนั้นขาดทุนหนัก ถ้าเป็นคนอื่นคงให้มันจบไปแล้ว แต่ผมไม่เคยท้อ ต้องสู้ผ่านมันให้ได้จนกว่าจะประสบความสำเร็จ”“
วิธีคิดในการทำงานทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากพ่อแม่ผม อย่างแรกเลยคือต้องขยัน คนรุ่นก่อนชีวิตลำบากมากนะ ตื่นแต่เช้ามืดนอนก็ดึกดื่น ไม่มีวันหยุด เรารู้ว่าพ่อแม่เราไม่มีเงิน จะรวยได้ ประสบความสำเร็จได้ต้องขยันเท่านั้น อย่างที่สองคือเรื่องเครดิต ห้ามเสีย ผิดพลาดไม่ได้เลยรุ่นพ่อแม่ผมค้าขายมะพร้าวกันมานานกว่า 30 ปีไม่ได้เจอหน้าเจอตากัน เพราะคุยทางโทรศัพท์อย่างเดียว แต่ต่างก็มั่นใจว่าได้ของแน่ๆ ได้เงินแน่ๆ นี่คือเรื่องสำคัญมาก สุดท้ายคือไหวพริบ การทำธุรกิจต้องรู้จังหวะ รู้เขารู้เรา เมื่อก่อนพ่อแม่ตื่นมาทำงาน เขาต้องรู้ว่าเช้าวันๆ หนึ่งมีมะพร้าวมากี่คันรถ มาจากที่ไหน ช่วงนี้วัตถุดิบเยอะหรือน้อย ที่ไหนมีมะพร้าวเยอะหรือน้อย คุณภาพดีไม่ดี ต้องเช็กและรู้ในเรื่องที่เราจะทำอย่างละเอียด
”ทั้งหมดนี้เองทำให้เกรียงศักดิ์เชื่อมั่นว่าเรื่องมะพร้าว ไม่มีใครเหนือกว่าเทพผดุงพรไปได้
ต่อมาหลังประสบความสำเร็จจากการสร้างตลาดกะทิ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง รุกเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพื่อตอบรับแนวโน้มของผู้บริโภคที่เริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ โดยออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากบุกผสมน้ำผลไม้ ฟิตซี" (FitC), เครื่องดื่มธัญญาหาร น้ำลูกเดือย
“โปรฟิท” (ProFit) และเครื่องดื่มธัญญาหารน้ำนมข้าวยาคู “วีฟิท” (VFit)นอกจากนี้ ยังสรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์น้ำแกงพร้อมปรุง
“รอยไทย” (RoiThai) และล่าสุดได้มีการวิจัยและพัฒนาจนสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่เครื่องดื่มธัญญาหารน้ำนมข้าวกล้องงอก “วีฟิท” (VFit) สู่ตลาด ซึ่งกำลังได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเกรียงศักดิ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานกว่า 700 คน และมีรายได้ปีละกว่า 1,300 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนการผลิตสินค้าปัจจุบัน มีสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว 85% ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 12% และเครื่องดื่มปรุงรสเพื่อสุขภาพ 3%
“
สิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้ หนึ่งคือการเรียนรู้ แรกๆ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะประสบการณ์อย่างเดียว แต่ไม่ใช่ ผมว่ายุคนี้ความรู้มันสำคัญ ในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด เราจะมาใช้ประสบการณ์ลองผิดลองถูกมันไม่ทันแล้ว อีกอย่างการขวนขวายหาความรู้จากช่องทางอื่นๆ ก็มีส่วนช่วยด้วย ทั้งไปดูงานต่างประเทศ อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และผลการวิจัยต่างๆ จะบอกเราได้ว่าทั่วโลกมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น”“
บนเส้นทางธุรกิจตลอด 34 ปี ถ้าถามว่ายังทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาไหม ผมคิดว่าถ้ามันเป็นงานที่เราถนัด งานที่เรารักและอยากทำ เหนื่อยยากแค่ไหนเราก็ก็รู้สึกว่าไม่หนักหนา เพราะเป็นสิ่งที่เรารักจะทำ แต่ถ้าเป็นงานที่เราไม่อยากทำ จะทำแค่นิดเดียว คุณก็เหนื่อย ไม่มีความสุขแล้ว เราต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นงานที่เรารักและอยากทำหรือเปล่า จากนั้นก็ลุยเลย”นี่คือบทเรียนอันล้ำค่าจากประสบการณ์กว่าครึ่งชีวิตของ เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร ที่ทำให้น้ำกะทิชาวเกาะ และชื่อของอำพลฟูดส์ อยู่คู่ครัวไทยมาจนถึงทุกวันนี้


