ยื่นบอร์ดกสทช.ทบทวนฟ้องนักวิชาการ-สื่อ
กรณีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่นฟ้อง ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ และ ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กรณีการแสดงความเห็นเรื่องการประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
กรณีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่นฟ้อง ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ และ ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กรณีการแสดงความเห็นเรื่องการประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ล่าสุดในการเสวนาวิชาการ หัวข้อ “เสรีภาพการตรวจสอบกับราคาที่ต้องจ่าย” กรณีศึกษา กทค.ฟ้องนักวิชาการและสื่อ จัดโดยคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศ.แฮรี่ โรเก้ จูเนียร์ ประธานเครือข่ายนักกฎหมายสื่อมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อการฟ้องร้องดังกล่าว เพราะกรณีนี้ถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเท่านั้น ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรื่องดังกล่าวถือเป็นประเด็นสำคัญต่อประโยชน์สาธารณะและผู้บริโภค
“การฟ้องร้องดังกล่าวมีแต่จะก่อให้เกิดการยับยั้งในการใช้เสรีภาพต่อนักข่าวและนักวิชาการ ดังนั้น ขอให้คำนึงถึงความเห็นที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเคยให้ไว้ต่อกรณีความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้”
ทั้งนี้ ขอเสนอให้ กทค.ทั้ง 4 คน ถอนฟ้องนักวิชาการและสื่อมวลชน และสนับสนุนให้ กทค.ทั้ง 4 คน นำข้อถกเถียงไปสู่ประชาชนและอภิปรายกรณีการให้สัมปทานคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ แก่ประชาชนแทน
ด้าน วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยโครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม (NBTC Policy Watch) ตั้งคำถามถึงธรรมาภิบาลองค์กรของ กสทช. เนื่องจากไม่ได้เปิดเผยมติและรายงานการประชุมบอร์ดภายใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งผลศึกษางานวิจัยตามกฎหมาย ทั้งกรณี 3จี หรือการประเมินมูลค่าคลื่นทีวีดิจิตอล และนโยบายต่างๆ ที่กระทบถึงผู้บริโภค
“หากมีวุฒิสภาหรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาตรวจสอบดูก็น่าสนใจ” วรพจน์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธาน กทค. เปิดเผยว่า กทค.ทั้ง 4 คน และ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ยืนยันจะไม่ถอนฟ้อง ดร.เดือนเด่น สำผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ระบุว่าการที่กทค. ประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ตซล่าช้าสร้างความเสียหายให้กับประเทศ 1.6 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เพราะข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงและไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์ได้ว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากแหล่งใด ซึ่งที่ผ่านมา กทค. ทั้ง 4 คน พยายามประนีประนอมและไม่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องมาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้ กทค. 4 คนต้องปกป้องสิทธิของตัวเองหรับกรณี ณัฏฐา อยู่ระหว่างการทบทวนและมีความเป็นไปได้ที่จะถอนฟ้อง หากสามารถชี้แจงได้ว่า เหตุใดจึงเสนอข้อมูลจากนักวิชาการที่โจมตี กทค.เพียงด้านเดียว
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการ กสทช. วันที่ 18 ก.ย.นี้ ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และ สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เสนอวาระให้ กสทช.พิจารณากรณีการยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทดังกล่าว โดยเห็นว่า การฟ้องครั้งนี้เป็นการกระทำโดย กทค.ทั้ง 4 คนในฐานะตัวบุคคล แต่เนื่องจากสำนักงาน กสทช. เป็นโจทก์ร่วมฟ้องด้วย จึงเป็นการนำเสนอในนามองค์กร ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพิจารณาในระดับกรรมการ ไม่ว่าจะเป็น กสทช. หรือ กทค. ดังนั้น จึงเสนอวาระเพื่อให้ที่ประชุม กสทช.พิจารณาว่า การดำเนินการเป็นไปในสถานะใดกันแน่
กสทช.ประวิทย์ และ กสทช.สุภิญญา มีความเห็นตรงกันว่า บทบาทของ กสทช.ในฐานะองค์กรกำกับดูแลสื่อวิทยุโทรทัศน์ควรเป็นแบบอย่างในการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หากเห็นว่าการใช้สิทธิเสรีภาพใดเกินกว่าขอบเขตที่เหมาะสม ก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ให้ข้อเสนอแนะ หรือใช้มาตรการอื่นๆ แทนการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ดังนั้นในคำแถลงต่างๆ มีการกล่าวถึงเหตุผลของการฟ้องว่าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของกสทช. หรือองค์กร รวมถึงการนำเสนอข่าวในสื่อมวลชน พบว่ามีการนำเสนอในนามขององค์กรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ ยังไม่เคยมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในระดับกรรมการ ไม่ว่าจะเป็น กสทช. หรือ กทค. เพื่อให้ความเห็นชอบแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งผิดกับแนวทางการดำเนินคดีอาญาเรื่องอื่นๆ ที่สำนักงาน กสทช.เคยปฏิบัติมา ดังนั้นจึงเสนอวาระเพื่อให้ที่ประชุม กสทช.พิจารณาว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปสถานะใด และควรมีการนำเสนอต่อสาธารณะอย่างถูกต้องด้วย
ตั้งคำถามต่อ กสทช.ถึงอำนาจที่มี ว่ามีความชอบธรรมในการกำกับดูแลสื่อหรือเปล่า รวมทั้งได้กล่าวถึงธรรมาภิบาลองค์กร (governance) ของกสทช. อย่างการไม่ได้เปิดเผยมติ และรายงานการประชุมของบอร์ดภายใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด เพราะล่าสุดเท่าที่ตรวจสอบยังเป็นวันที่ 3 มิถุนายน รวมทั้ง กสทช.เองไม่เคยเปิดผลการศึกษางานวิจัยตามกฎหมาย อย่างกรณี 3G หรือการประเมินมูลค่าคลื่นทีวีดิจิตอล จึงดูเหมือนเป็นความย้อนแย้งของ กสทช. ที่ไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการ ในขณะเดียวกัน กสทช.ไม่เปิดเผยข้อมูลงานศึกษาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการออกนโยบาย ทั้งนี้ กสทช.เองไม่เคยเปิดเผยเหตุผลการพิจารณานโยบายที่กระทบต่อผู้บริโภค รวมถึงการเปิดเผยเหตุผลการสนับสนุนงบประมาณของกองทุนวิจัยฯ นอกจากนี้ ที่ผ่านมามีการตั้งคณะอนุกรรมการหลายชุด ใช้งบประมาณกว่า 50 ล้านบาท และดูเหมือนเป็นตรายางประทับตราการทำงานของ กสทช.มากกว่า ในขณะที่ กสทช. ไม่ได้ขับเคลื่อนนโยบายโดยผ่านชุดความรู้หรืองานวิจัย แม้จะการจ้างมหาวิทยาลัย หรือองค์กรวิชาการจำนวนมาก แต่กลับออกมาโต้แย้งนักวิชาการอย่าง ดร.เดือนเด่น ว่าคิดไปเองในประเด็นตัวเลขมูลค่าคลื่น ไม่นับรวมถึงการใช้งบประมาณซื้อสื่อในพื้นที่หนังสือพิมพ์ และพื้นที่ปกนิตยสารที่เมื่อดูเนื้อหาก็ไม่พบว่ามีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ทำงานจึงไม่แน่ใจว่าใช้งบประมาณส่วนไหน
2 กสทช. ชงวาระ ให้บอร์ด กสทช. ชี้ชัดการยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทต่อนักวิชาการและสื่อมวลชน กระทำในนามกลุ่มบุคคลหรือองค์กร
รุ่งนี้ (วันพุธที่ 18 กันยายน 2556 ) ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช.ครั้งที่ 9 /2556 นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช.ด้านคุ้มครองด้านคุ้มครองผู้บริโภคและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เสนอวาระให้ กสทช.พิจารณากรณีการยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทต่อนางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน จากกรณีการวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านและไม่เห็นด้วยต่อร่างประกาศ กสทช.เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.....และนำเสนอข่าวดังกล่าวในการรายการ “ที่นี่ Thai PBS” โดยเห็นว่าการฟ้องครั้งนี้เป็นการกระทำโดย กทค. 4 ท่านในฐานะตัวบุคคล แต่เนื่องจากสำนักงาน กสทช. เป็นโจทย์ร่วมฟ้องด้วย ดังนั้นในคำแถลงต่างๆ มีการกล่าวถึงเหตุผลของการฟ้องว่าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของกสทช. หรือองค์กร รวมถึงการนำเสนอข่าวในสื่อมวลชน พบว่ามีการนำเสนอในนามขององค์กรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ ยังไม่เคยมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในระดับกรรมการ ไม่ว่าจะเป็น กสทช. หรือ กทค. เพื่อให้ความเห็นชอบแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งผิดกับแนวทางการดำเนินคดีอาญาเรื่องอื่นๆ ที่สำนักงาน กสทช.เคยปฏิบัติมา ดังนั้นจึงเสนอวาระเพื่อให้ที่ประชุม กสทช.พิจารณาว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปสถานะใด และควรมีการนำเสนอต่อสาธารณะอย่างถูกต้องด้วย
ทั้งนี้ กสทช.ประวิทย์ฯ และกสทช.ฯ สุภิญญญา มีความเห็นตรงกันว่า บทบาทของ กสทช.ในฐานะองค์กรกำกับดูแลสื่อวิทยุโทรทัศน์ควรเป็นแบบอย่างในการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร หาก กสทช.เห็นว่าการใช้สิทธิเสรีภาพใดเกินกว่าขอบเขตที่เหมาะสม ก็มีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ ให้ข้อเสนอแนะ หรือใช้มาตรการอื่นๆ แทนการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ เพราะการฟ้องร้องคดีทางอาญาเช่นนี้ ขัดต่อสายตาของโลกยุคใหม่ที่มองว่าเป็นการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองทั้งในปฎิญญาสากลและในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การกระทำเช่นนี้ทำให้ กสทช.เสื่อมเสียยิ่งกว่าการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการดำเนินการอื่นๆ
นอกจากนี้วาระอื่นที่น่าสนใจ อาทิ การพิจารณาความเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะประจำปี 2556 (ประเภท1) จำนวนเงิน 152,725,299 บาท ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดหน่วยงานใดที่ยื่นความประสงค์มาแล้ว จะได้รับการจัดสรรจากกองทุนดังกล่าวหรือไม่ และได้รับการสนับสนุนมากน้อยเพียงใด ชวนติดตามการประชุม กสทช.ในนัดนี้... การดำเนินการเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อองค์กรโดยรวม


