posttoday

พลังเงียบกับดุลยภาพการเมือง

27 เมษายน 2553

 

....นคร สังขรัตน์

คนที่เรียนเศรษฐศาสตร์คงจะทราบเป็นอย่างดีว่า Adam Smith เป็นบิดาของเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก ด้วยอมตะวาจาที่บัญญัติคำว่า “Invisible Hand” หรือ มือที่มองไม่เห็นเพื่อใช้อธิบายการทำงานของกลไกราคาในตลาด

กล่าวคือเมื่อไรก็ตามที่ตลาดมีความต้องการซื้อสินค้า (Demand) มากกว่าความต้องการขายสินค้า (Supply) มือที่มองไม่เห็นจะเข้ามาทำงานเพื่อปรับความต้องการซื้อให้เท่ากับความต้องการขาย ผ่านการปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งจะจูงใจให้มีผู้ผลิตอยากผลิตสินค้าออกมาขายมากขึ้น ในขณะที่ผู้ซื้อก็อยากจะซื้อสินค้าน้อยลง จนในที่สุดปริมาณความต้องการซื้อและความต้องการขายเกิดความสมดุลเท่าเทียมกัน

ในทางตรงข้ามหากมีความต้องการซื้อสินค้าน้อยกว่าความต้องการขายสินค้า มือที่มองไม่เห็นจะปรับระดับราคาให้ต่ำลง โดยกระบวนการดังกล่าวจะดำเนินไปจนกระทั่งตลาดเข้าสู่จุดดุลยภาพ

หากเปรียบการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นตลาดทุนนิยมเชิงนโยบาย โดยประชาชนเป็นผู้บริโภคนโยบาย ในขณะที่รัฐบาลหรือพรรคการเมืองเป็นผู้ผลิตนโยบาย มีกลไกประชาธิปไตยเป็น มือที่มองไม่เห็นสร้างดุลยภาพระหว่างอุปสงค์กับอุปทานของนโยบาย

ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบันจึงเหมือนเกิดสภาวะความไม่สมดุลของดุลยภาพ ตลาดมีความต้องการซื้อน้อยกว่าความต้องการขาย รัฐบาลไม่เป็นที่ชอบใจของกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งหากกลุ่มเสื้อแดงเป็นพลังของตลาดทั้งหมด ในที่สุดรัฐบาลก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะ มือที่มองไม่เห็นคงเข้ามาปรับลดราคาสินค้าผ่านการเจรจายุบสภา หรือกดดันจนนายกรัฐมนตรีลาออกไป

แต่เหตุที่รัฐบาลยังคงดำรงอยู่ได้ เพราะตลาดทั้งหมดมิได้มาจากกลุ่มเสื้อแดงเพียงเท่านั้น ยังมีกลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มเสื้อขาว กลุ่มเสื้อสีน้ำเงิน กลุ่มเสื้อหลากสี และอีกกลุ่มที่ผมคิดว่าใหญ่ที่สุดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ นั่นคือ กลุ่มพลังเงียบ หรือ Invisible Heart

กลุ่มพลังเงียบเป็นผู้มีสิทธิทางการเมืองเฉกเช่นเดียวกับทุกกลุ่มการเมืองที่กล่าวมา และแม้ว่าคนกลุ่มนี้ยังสามารถจำแนกแยกแยะออกได้อีกหลายประเภท แต่ผมขอตั้งสมมติฐานว่าคนกลุ่มนี้เป็นพลังที่บริสุทธิ์ และเป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยได้อย่างแท้จริง

กลุ่มพลังเงียบกระจายตัวอยู่ในทุกปริมณฑลของสังคม อยู่ในแวดวงราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน แม้ว่าส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้กำลังทำงานของตัวเองอยู่ คือประกอบสัมมาอาชีพ แต่มีบางส่วนที่ทำงานพัฒนาประเทศแบบปิดทองหลังพระอยู่เงียบๆ

แต่นับวันพลังเงียบเหล่านี้กำลังรุกคืบเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมไทยทีละนิดๆ เพราะพวกเขาเหล่านี้ไม่นิยมชมชอบความรุนแรง รักสันติเป็นที่ตั้ง ให้โอกาสคนอื่น คือให้โอกาสทั้งเสื้อแดงเฉพาะส่วนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจริงๆ และยังคอยให้กำลังใจรัฐบาลที่แม้ว่าดูเหมือนจะแก้ไขปัญหาไม่เด็ดขาดทันใจหลายๆ กลุ่ม แต่อย่างน้อยรัฐบาลก็มีเหตุผลเพื่อรักษาชีวิตคนไทยไว้เหนือสิ่งอื่นใด

ผมเชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่เกิดวิกฤตอย่างที่สุด คนเหล่านี้จะออกมารวมตัวกันก่อเกิดเป็นพลังทางการเมืองที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะสลายขั้วทางเมืองของทุกกลุ่มที่เป็นอยู่ในขณะนี้

มีคนพูดว่าเราจะเป็นเหมือนภาพยนตร์ โฮเต็ล รวันดา” (Hotel Rwanda) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดา ทวีปแอฟริกา อันเป็นผลมาจากการปลุกระดมให้เกลียดชังกันอย่างรุนแรงระหว่างเผ่า ซึ่งคาดกันว่า มีผู้ถูกสังหารหมู่นับล้านคน

แต่ผมไม่คิดเช่นนั้นเลย เพราะเรามีพลังเงียบ เป็นพลังมหาชนชาวสยาม เป็นพลังที่เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไว้เหนือหัว เป็นพลังที่รักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ที่แม้จะเป็นพลังของคนหมู่มาก แต่ก็คำนึงถึงสิทธิและศักดิ์ศรีของเสียงส่วนน้อย (Majority Rule, Minority Rights)

พลังเหล่านี้เองที่กำลังทำงานช่วยไกล่เกลี่ย ประสานรอยร้าว และประนีประนอมกับความรุนแรงต่างๆ ในสังคมไทยอยู่ บางส่วนก็กำลังทำงานแก้ไขวิกฤตคราวนี้อยู่โดยตรง

ผมเลยขอถือโอกาสนี้อยากจะเชิญชวนให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ให้มาช่วยกันเป็นหนึ่งในพลังเงียบ ที่จะออกมาปรับสมดุลทางการเมืองให้เข้าสู่ดุลยภาพ ออกมาปกป้องประเทศ ช่วยกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็นระบอบการปกครองที่เป็นแบบอย่างให้กับอารยประเทศ ให้ชาวต่างชาติได้รู้ว่าเมืองไทยเรามีดี เป็นเมืองพุทธที่สามารถนำข้อดีของระบอบการปกครองทางการเมืองที่ให้สิทธิและเสรีภาพ เข้ามาเชื่อมโยงกับการพัฒนาทางจิตใจบนพื้นฐานของสังคมชาวพุทธ

ให้สมดังบทเพลงพระราชนิพนธ์แผ่นดินของเรา ที่ว่า “...ถึงอยู่แคว้นใด ไม่สุขสำราญ เหมือนอยู่บ้านเรา ชื่นฉ่ำค่ำเช้าสุขทวี ทรัพย์จากผืนดิน สินจากนที มีสิทธิ์เสรี สันติครองเมือง...

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 12.72 จุด DELTA ฉุดดัชนี-ไร้ปัจจัยใหม่หนุน