ลีปฟร็อก เสริมทักษะคุณหนู "ของเล่น" ต้องทันสมัย
แม้บรรดาผู้เล่นรายใหญ่จะจับจองพื้นที่เต็มตลาดของเล่นในสหรัฐอยู่ก่อนแล้ว
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
แม้บรรดาผู้เล่นรายใหญ่จะจับจองพื้นที่เต็มตลาดของเล่นในสหรัฐอยู่ก่อนแล้ว ยังไม่รวมถึงของเล่นราคาถูกจากจีนที่เข้ามากวาดส่วนแบ่งการตลาด ทว่า “ไมค์ วูด” ทนายความซึ่งอยู่ในแวดวงกฎหมายมานานถึง 11 ปี ก็ยังสามารถเบียดพื้นที่ตลาดในสหรัฐได้ ด้วยการคิดค้นและพัฒนา “ของเล่นเสริมทักษะ” ที่กล้ารับประกันเรื่องคุณภาพ เพราะมาจากการคิดค้นเพื่อลูกชายโดยเฉพาะ
การคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงกฎหมายมานานก็ยังทำให้วูดถึงกับไปไม่ถูก เมื่อต้องสอนลูกชายวัย 3 ขวบ ให้อ่านหนังสือ ซึ่งความท้าทายนี้ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การเปิดตัว “ลีปฟร็อก เอ็นเตอร์ไพรส์” (LeapFrog) บริษัทผลิตของเล่นเสริมทักษะและต่อยอดการศึกษาให้เด็กๆ
เพียงไม่ถึง 20 ปี ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด บริษัทก็สามารถผงาดขึ้นไปติดท็อปไฟว์บริษัทของเล่นรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐได้ พร้อมยอดขายมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.6 หมื่นล้านบาท) จากการไม่หยุดอยู่กับที่ และพร้อมปรับตัวออกผลิตภัณฑ์ให้ทันกับยุคสมัยอยู่เสมอ
วูด ได้ย้อนความหลังถึงที่มาที่ไปช่วงการก่อตั้งบริษัทกับวอลสตรีท เจอร์นัล ว่า เป็นเพราะลูกชายซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการเรียนรู้เริ่มจะจดจำตัวอักษรได้หมดแล้ว ทว่ากลับมีปัญหาด้านการออกเสียง และที่สำคัญก็คือในช่วงทศวรรษ 90 นั้น ยังไม่มีของเล่นในท้องตลาดที่เหมาะสมกับการพัฒนาทักษะเช่นนี้
จุดเริ่มต้นดังกล่าวทำให้ผู้เป็นพ่อต้องพยายามหาวิธีต่างๆ เพื่อช่วยเสริมพัฒนาการของลูก และนำไปสู่การคิดค้นของเล่นที่สามารถเรียนรู้ตัวอักษรไปพร้อมกับการออกเสียงที่ถูกต้อง โดยใช้หลักการคล้ายกับการ์ดเพลง ด้วยการนำชิปเสียงมาติดใต้ปุ่มตัวอักษร
ความทุ่มเทมาตลอด 5 ปีนั้น ทำให้วูดตัดสินใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง โดยวางแผนธุรกิจเบื้องต้นและเริ่มระดมทุนจากบรรดาเพื่อนฝูงและครอบครัวได้ถึง 8 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 25.6 ล้านบาท) จึงตัดสินใจลาออกจากบริษัทด้านกฎหมายเทคโนโลยี มาเปิดบริษัทกบกระโดดสีเขียว “ลีปฟร็อก เอ็นเตอร์ไพรส์” ขึ้นในปี 1995 ร่วมกับหุ้นส่วนคนสำคัญ โรเบิร์ตแลลลี โดยใช้โรงงานในจีนเป็นฐานการผลิตหลัก และได้ห้างจำหน่ายของเล่นรายใหญ่ ทอย อาร์ อัส เป็นบายเออร์รายสำคัญ
แม้จะดูเป็นรูปแบบธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ทว่าการดำเนินการจริงย่อมมีปัญหาตามมา โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและขนส่งสินค้าจากจีนที่แม้จะมีต้นทุนต่ำก็ตาม ซึ่งทำให้วูดและพนักงานของลีปฟร็อกต้องเข้มงวดกับการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
การโฟกัสไปที่ของเล่นเสริมทักษะและพัฒนาการศึกษาเป็นพิเศษนั้น อาจทำให้ลีปฟร็อกมีจุดขายที่ต่างจากบริษัทของเล่นทั่วไปและเบียดส่วนแบ่งการตลาดมาได้ ทว่าจุดเด่นที่ช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะ “การปรับตัวให้ทันสมัย”
เพราะของเล่นต้องก้าวให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทำให้พัฒนาหรือความสนใจของเด็กในแต่ละยุคสมัยนั้นแตกต่างกัน ลีปฟร็อกจึงเน้นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับของเล่น และนำไปสู่การเปิดตัว “ลีปแพด” หรือแท็บเล็ตฉบับเด็กเล็กที่เน้นเสริมพัฒนาการ ซึ่งถือเป็นสินค้าเด่นฮอตฮิตตลอดกาลของบริษัทนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 เป็นต้นมา
ภายในปีที่ 7 หลังการก่อตั้ง บริษัทสามารถทำรายได้ต่อปีสูงถึง 520 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.66 หมื่นล้านบาท) โดยมีสินค้าชูโรงอย่างลีปแพด ซึ่งมียอดขายถล่มทลายถึง 9 ล้านเครื่อง รวมไปถึงของเล่นอื่นๆ ที่มีความทันสมัยต่อเด็กๆ ยุค “มิลเลนเนียล” (Millennial) ซึ่งของเล่นเหล่านี้ยังนับเป็นการก้าวสู่โลกไอทีก้าวแรกของเด็กๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตและไอทีอย่างเต็มตัวเมื่อเติบโตขึ้น
ทิศทางธุรกิจที่สดใสทำให้วูดตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นในเดือน ก.ค. 2002 ซึ่งปัจจุบันหุ้นของลีปฟร็อกพุ่งขึ้นจากราคาไอพีโอไปแล้วถึงเกือบ 99% นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเข้าไปจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทท้องถิ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาของเล่นเชิงทักษะที่มีเอกลักษณ์และตรงกับความสนใจของเด็กญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
หากใช้จินตนาการที่สร้างสรรค์ ตอบโจทย์ออกมาให้ตรงกับยุคสมัย ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปจะเริ่มธุรกิจและก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของกลุ่มผู้นำ!


