posttoday

นักบริหารความเสี่ยง"ผู้ประสาน10ทิศ"

11 กันยายน 2556

ธุรกิจประกันที่ต้องบริหารเงินจำนวนมหาศาล จำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงรอบด้าน เพื่อความมั่นคงขององค์กร

โดย...วารุณี อินวันนา

นับจากภาครัฐใช้กฎหมายการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง(RBC) มาใช้ การบริหารความเสี่ยงกลายเป็นหัวใจสำคัญ  และนักบริหารความเสี่ยงคือผู้อยู่เบื้องหลังการให้คำแนะนำ เพื่อให้ผู้บริหารนำไปใช้ตัดสินใจกำหนดทิศทางบริษัท นอกเหนือจากนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

คนกลุ่มนี้ได้รวมตัวกันภายใต้ ชมรมบริหารและจัดการความเสี่ยง เพื่อร่วมกันหาวิธีลดความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง สามารถดูแลประชาชนผู้ทำประกันภัยได้อย่างไร้ปัญหา

ปิยวดี โขวิฑูรกิจ ประธาน คณะกรรมการชมรมบริหารและจัดการความเสี่ยง สมาคมประกันวินาศภัย อธิบายให้ฟังว่า ชมรมฯนี้ เกิดขึ้นจากนักบริหารความเสี่ยงของแต่ละบริษัทประกันภัยมารวมตัวกันทำงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พบเจอในแต่ละวัน และมาบอกกันว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้างที่ต้องระวัง และ จะหาวิธีป้องกันอย่างไร เพื่อให้บริษัทสมาชิกของสมาคมฯ ได้เข้าใจ รวมถึงการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่บริษัทสมาชิก นี้คือการทำงานให้กับส่วนรวม

“ชมรมฯอยากเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้ และอัพเดทพัฒนาการบริหารความเสี่ยงในต่างประเทศ มาให้ธุรกิจประกันภัยได้ศึกษาเรียนรู้ ซึ่งเราอยู่ภายใต้คณะกรรมการชุดใหญ่คือ คณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ในการบริหารธุรกิจ ให้ช่วยกันพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น สามารถนำมาช่วยในการตัดสินใจได้จริง” ปิยวดี กล่าว

หากแยกย่อยลงไปในแต่ละบริษัท งานหลักของนักบริหารความเสี่ยงคือคอยช่วยมอนิเตอร์ภาพรวม และให้คำแนะนำว่าต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งคำแนะนำจะต้องนำไปใช้ในการตัดสินใจบริหารงานได้จริง ทั้งการออกสินค้าใหม่ ช่องทางการขาย อัตราเบี้ย การต่ออายุ เงินกองทุน กฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่ออกมา การเปลี่ยนแปลงของตลาด ล้วนเป็นความเสี่ยงในการทำธุรกิจทั้งสิ้น

ทุกๆ ขั้นตอนของการทำงานล้วนเป็นความเสี่ยงที่จะต้องคอยระมัดระวัง และการบริหารความเสี่ยง คือ หน้าที่ของทุกคนในองค์กร นักบริหารความเสี่ยง เป็นผู้ที่ช่วยสร้าง และ กระตุ้นให้เกิดความตระหนักขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมโยงของแต่ละหน่วยงานในองค์กรให้เป็นภาพใหญ่ที่ต้องไปด้วยกัน

นักบริหารความเสี่ยง"ผู้ประสาน10ทิศ"

ช่วงนี้สิ่งที่ต้องระมัดระวังกันมาก คือ RBC เพราะปีนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) บังคับใช้ที่ 140% ของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย ซึ่งความเสี่ยงของธุรกิจกับเงินกองทุนจะต้องไปด้วยกัน ฉะนั้นจะต้องร่วมทำงานกับทุกฝ่ายขององค์กร

ยกตัวอย่าง การออกสินค้าใหม่ มีความเสี่ยงหลายอย่าง ประกอบด้วย จะตรงใจผู้บริโภคไหม เพราะถ้าไม่ตรงใจก็เสี่ยงที่จะขายไม่ได้ กลายเป็นต้นทุนที่สูญเปล่า ราคาที่กำหนดออกมาขาย หากต่ำเกินไป จะต้องตั้งสำรองสูง ซึ่งจะกระทบกับเงินกองทุน แต่ถ้าทำราคาพอดี จะไม่ต้องตั้งสำรองสูงเกินไป มีเงินในการไปขยายธุรกิจได้

รวมถึง การพิจารณารับประกันภัย จะต้องเลือกลูกค้าที่มีคุณภาพดี ช่องทางการขายก็ต้องมีประสิทธิภาพ การต่ออายุต้องดี ต้องมีกำไร จะได้ไม่กระทบความมั่นคงทางการเงินของบริษัท เพราะถ้าขาดทุนจะไปกินเงินกองทุน กรณี กรมธรรม์ประกันภัยเพื่อรายย่อย หรือ ไมโครอินชัวรันส์ ท้ายที่สุดเบี้ยต้องพอ เพราะเป็นธุรกิจ

ด้านบุคลากร นักบริหารความเสี่ยงจะมองที่ความคุ้มค่าของค่าตัวที่จ่ายให้กับพนักงาน ไม่ได้มองว่าค่าตัวแพง หรือ ถูก

“การดำรงเงินกองทุนตามเกณฑ์ RBC มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เราเหมือนกองทัพหนุนหลัง เพราะคอยช่วยมอนิเตอร์ทุกหน่วยงาน มองภาพรวม ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยง แต่การตัดสินใจเป็นอำนาจของแต่ละฝ่ายที่จะไปพิจารณาเอง” ปิยวดี กล่าว

นอกจากนี้ ทัศนคติคนส่วนใหญ่ยังมองว่า ความเสี่ยง เป็นเรื่องไม่ดี ซึ่งความจริงแล้วมี 2 ด้าน มีทั้งไม่ดีต่อธุรกิจ ซึ่งถ้าเจอสภาพธุรกิจขาลงอย่างนี้ก็หาวิธีตั้งรับ ดูแลงานภายในให้ ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสและกลยุทธ์ ในการหาตลาดใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ กลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ หากเป็นช่วงธุรกิจขาขึ้น ก็ต้องบริหารธุรกิจเชิงรุก บุก ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

ขณะที่ ประกันภัย เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้วต้องมี ไม่มีไม่ได้ แต่สำหรับประเทศไทย คนไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการประกันภัยเท่าที่ควร ภาพยังติดลบ หากบริษัทประกันภัย ให้บริการที่รวดเร็ว ตรงตามที่ตัวแทนมาเสนอขายประชาชน เชื่อว่าคนไทยจะหันมาใช้ ประกันภัย บริหารความเสี่ยงให้ชีวิตเช่นเดียวกัน

ข่าวล่าสุด

มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี