ยางรถยนต์ในเออีซี
ประเทศไทยผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่เป็นการส่งออกในรูปวัตถุดิบเกือบทั้งหมด ดังนั้นนโยบายส่งเสริมการลงทุนสำคัญ คือ การแปรรูปยางธรรมชาติในประเทศ โดยปัจจุบันให้สิทธิและประโยชน์สูงสุดตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน กล่าวคือ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
ประเทศไทยผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่เป็นการส่งออกในรูปวัตถุดิบเกือบทั้งหมด ดังนั้นนโยบายส่งเสริมการลงทุนสำคัญ คือ การแปรรูปยางธรรมชาติในประเทศ โดยปัจจุบันให้สิทธิและประโยชน์สูงสุดตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน กล่าวคือ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
นโยบายข้างต้นประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้ปริมาณแปรรูปยางธรรมชาติเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากตัวเลขสถาบันวิจัยยาง เดิมในปี 2537 แปรรูปเพียงแค่ 132,195 ตัน ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเป็น 278,355 ตัน ในปี 2545 และสถิติล่าสุดในปี 2555 เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัวเป็น 505,052 ตัน หรือ 13.4% ของปริมาณผลผลิต ทั้งนี้ เดิมการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศของไทยน้อยกว่ามาเลเซียมาก แต่ได้แซงหน้ามาเลเซียนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ทำให้กลายเป็นประเทศแปรรูปยางธรรมชาติภายในประเทศรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
การแปรรูปยางธรรมชาติในประเทศไทยกระจุกตัวในการผลิตยางยานพาหนะและหล่อดอกเป็นหลัก โดยในปี 2555 เป็นปริมาณรวม 340,669 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 60.3% ของปริมาณการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศทั้งหมด และมีมูลค่าส่งออก 3,485 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยประสบผลสำเร็จอย่างมากในการชักจูงการลงทุนในด้านนี้ทุกระดับประทับใจ เป็นต้นว่า
ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับ 1st Tier เป็นยักษ์ใหญ่ของโลก 3 บริษัท หรือ Big Three ประกอบด้วย บริดจสโตนของญี่ปุ่น (อันดับ 1 ของโลก) มิชลินของฝรั่งเศส (อันดับ 2 ของโลก) และกู๊ดเยียร์ของสหรัฐ (อันดับ 3 ของโลก)
ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับ 2nd Tire เป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์ขนาดกลาง คือ ซูมิโตโมของญี่ปุ่น (อันดับ 6 ของโลก) โยโกฮามาของญี่ปุ่น (อันดับ 8 ของโลก)
ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับ 3rd Tire เป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์ขนาดเล็ก คือ Cheng Shin ของไต้หวัน (ยี่ห้อ Maxxis อันดับ 9 ของโลก)
ขณะเดียวกันอีกหลายประเทศในอาเซียนก็แข่งขันชักจูงการลงทุน โดยเสนอให้สิทธิและประโยชน์เช่นเดียวกัน กรณีของอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก บริษัท ฮันกุ๊ก ของเกาหลีใต้ ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ได้ลงทุน 1,180 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อตั้งโรงงานที่เมือง Cikarang ทางตะวันตกของเกาะชวา เปิดดำเนินการแล้วเมื่อกลางปี 2556 แม้เริ่มแรกมีกำลังผลิต 4.5 ล้านเส้น/ปี ในปี 2556 แต่จะเพิ่มอย่างก้าวกระโดดเป็น 6 ล้านเส้น/ปี ในปี 2557 และกลายเป็นโรงงานขนาดใหญ่กำลังผลิต 17 ล้านเส้น/ปี ในปี 2558 นอกจากนี้ บริษัท ฟิเรลลิ ก้าวสู่ผู้ผลิตยางรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ได้ประกาศร่วมทุนกับกลุ่มแอสตราของอินโดนีเซียในการก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถจักรยานยนต์อีกด้วย
สำหรับกรณีของเวียดนามซึ่งปีที่ผ่านมาเพิ่งแซงมาเลเซียเป็นประเทศผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก บริษัท คัมโฮ ของเกาหลีใต้ ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 11 ของโลก ได้ลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่จังหวัดบินเยือง ทางตอนใต้ของประเทศ เริ่มแรกมีกำลังผลิต 3.15 ล้านเส้น/ปี และในปี 2555 ได้ลงทุนเพิ่มเติมอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายกำลังผลิตเป็น 5.6 ล้านเส้น/ปี และในอนาคตจะลงทุนเพิ่มเติมอีกเพื่อขยายกำลังผลิตเป็น 13 ล้านเส้น/ปี
ส่วนบริษัท บริดจสโตน ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกได้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์ มูลค่า 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเวียดนาม เมื่อกลางปี 2555 ขนาดกำลังผลิต 10 ล้านเส้น/ปี ณ เขตอุตสาหกรรม Dinh Vu ของเมืองท่าไฮฟอง
กรณีของมาเลเซียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติอันดับ 4 ของโลก บริษัทต่างชาติเริ่มมาซื้อกิจการบริษัทท้องถิ่นเพื่อเป็นฐานผลิต โดยบริษัท คอนติเนนตัล ของเยอรมนี ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ซึ่งเดิมได้ร่วมลงทุนโดยถือหุ้น 70% ขณะที่กลุ่มไซมดาร์บี้ของมาเลเซีย ถือหุ้นอีก 30% ในบริษัท Continental Sime Tyre แต่ในปี 2555 ได้ซื้อหุ้นทั้งหมด ทำให้เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Continental Tyre Malaysia โดยมีฐานการผลิต 2 แห่ง คือ เมือง Petaling Jaya ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์และเมืองอลอร์สตาร์ ทางตอนเหนือของประเทศ ใกล้กับพรมแดนติดกับไทย
บริษัท โตโยไทร์ แอนด์ รับเบอร์ ของญี่ปุ่น ผู้ผลิตอันดับ 13 ของโลก ได้ซื้อกิจการบริษัทยางรถยนต์ซิลเวอร์สโตน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเปรัคของมาเลเซีย เมื่อต้นปี 2554 จากนั้นได้ลงทุนเพิ่ม 260 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งใหม่ติดกับโรงงานเดิม โดยโรงงานใหม่เพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อเดือน พ.ค. 2556 เริ่มแรกจะมีกำลังผลิต2.5 ล้านเส้น/ปี จากนั้นจะเพิ่มเป็น 10 ล้านเส้น/ปี ซึ่งจะทำให้มาเลเซียเป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุดนอกญี่ปุ่นของบริษัทแห่งนี้


