เป็ปซี่โค เขย่าโครงสร้างธุรกิจน้ำดำ ปิดฉาก อาณาจักรเสริมสุข 56 ปี
หลังนายฮิว กิลเบิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เป๊ปซี่โค ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เป๊ปซี่โค จากสหรัฐอเมริกา เจ้าของน้ำอัดลมยี่ห้อ เป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่นอัพ เปิดแถลงข่าวเพื่อประกาศนโยบายบริษัทแม่ว่า ต้องการเข้ามาลงทุนเพื่อรุกตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยจัดตั้งบริษัท ยื่นข้อเสนอขอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) จากบริษัท เสริมสุข ซึ่งมี นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข ในปัจจุบัน ทายาทโดยตรง นายทรง บุลสุข ผู้ก่อตั้งบริษัท เสริมสุข โรงงานผู้ผลิต และตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจร ในฐานะพันธมิตรธุรกิจบริษัท เป๊ปซี่
–โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง ที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยยาวนานเกินกว่าครึ่งศตวรรษทั้งนี้ บริษัท เป๊ปซี่โค ได้ตั้งบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินการเทนเดอร์ออฟเฟอร์บริษัท เสริมสุข จากผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหมด ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย 58% หรือราว 2,0003,000 คน ในราคาหุ้นละ 29 บาท ส่วนที่เหลืออีก 42% เป็นการถือหุ้นของบริษัท เป๊ปซี่โค โดยราคาที่เสนอซื้อในครั้งนี้ 29 บาท สูงกว่าราคาปิดที่ทำการซื้อขายในวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา ราว 40% โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดในการซื้อหุ้นประมาณ 4,500 ล้านบาท และต้องยื่นข้อเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดภายใน 7 วัน โดยคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จได้ภายใน 2 เดือนข้างหน้า
สำหรับเหตุผลหลักของการเข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมดจากบริษัท เสริมสุข นั้น เพราะบริษัทแม่มองเห็นศักยภาพตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข่งขันรุนแรง นอกจากนี้ตลาดเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ที่ออกสู่ตลาดในปี 2552 ยังมีมากกว่า 400500 รายการ สอดคล้องกับแผนดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ต้องการ เปิดตลาดเครื่องดื่มใหม่ๆ ในไทย ทั้งกลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม รวมถึงกลุ่มธุรกิจขนมขบเคี้ยวที่มีอยู่ในเครือเป๊ปซี่จำนวนมาก
ส่วนแผนงานธุรกิจบริษัท สตราทีจิคฯ หลังปรับโครงสร้างใหม่นับจากนี้ จะออกสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาดให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต และมองว่าการลงทุนผ่านบริษัทใหม่ที่จัดตั้งขึ้นมาในครั้งนี้จะมีความคล่องตัวและสามารถเสริมเงินทุนเข้ามาขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับที่บริษัทมีแผนลงทุนใหญ่ในไทยมูลค่ากว่า 5,0007,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในไทยช่วง 35 ปีข้างหน้า คาดว่าจะสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มไม่มีน้ำอัดลมเป็นหลัก ซึ่งเงินที่ใช้ลงทุนในครั้งนี้ส่วนหนึ่งจะมาจากบริษัท เสริมสุข และบริษัทแม่
นายกิลเบิร์ต ระบุว่า การเข้าเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของเสริมสุขในครั้งนี้ ได้มีการหารือกับนายสมชายแล้ว โดยนายสมชายจะนั่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทต่อไปจนกว่าจะเกษียณอายุ โดยในขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนปรับโครงสร้างองค์กรของเสริมสุขแต่อย่างใด
สำหรับบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียนรวม 66 ล้านบาท โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง เป๊ปซี่โค ถือหุ้น 49% และมีผู้ถือหุ้นไทย 2 รายถืออยู่ในสัดส่วน 51% ได้แก่ นายปริญญา กิจจาธนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม และนายทรงยศ เรืองสกุลราช ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เป๊ปซี่โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการซื้อหุ้นทั้งหมดแล้วเสร็จก็ไม่มีแผนถอนบริษัท เสริมสุข ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แต่อย่างใด และขอยืนยันว่าพนักงานของเสริมสุขที่มีอยู่ทั้งหมด 1 หมื่นคนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการซื้อหุ้นในครั้งนี้
ด้านนายปริญญา กล่าวว่า ผู้บริหารจากบริษัทแม่มั่นใจต่อประเทศไทยสูงมาก แม้ว่าสถานการณ์ในไทยจะเกิดเหตุไม่ปกติขึ้นก็ตาม จึงเดินหน้าลงทุนในไทยตามแผนงานที่ได้วางไว้ ประกอบกับไทยถือเป็นตลาดน้ำอัดลมที่ใหญ่สุดอันดับ 3 ของเป๊ปซี่ รองจากประเทศจีนและอินเดีย โดยมีการบริโภคน้ำดื่มแบบกระป๋องเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียด้วย พร้อมยืนยันว่าการเข้ามาลงทุนในครั้งนี้ ไม่ใช่เข้ามาเทกโอเวอร์ แต่เป็นการเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นเท่านั้น และมองว่าบริษัทตัองการใช้เงินลงทุนในอนาคตจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา
ด้านแหล่งข่าวในธุรกิจเครื่องดื่ม เปิดเผยว่า การดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในตลาดเครื่องดื่มครั้งนี้ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นไปตามกระแส หรือเทรนด์การบริหารธุรกิจของสินค้าที่เป็นแบรนด์ระดับโลก ที่เจ้าของสินค้ามักต้องการเข้ามาลงทุนเพื่อขยายการดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นแล้วในหลายธุรกิจข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดดลมในนประเทศไทย ที่พบว่าแบรนด์เป๊ปซี่ในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในตลาดน้ำดำ โดยเป็นอันดับ 3 รองจากประเทศจีน และอินเดียในภูมิภาคเอเชีย
ปัจจุบันบริษัท เสริมสุข มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็น บริษัท เป๊ปซี่โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง ถือหุ้น 24.94% รองลงมาเป็น SEVENUP NEDERLAND, B.V. 16.60% กลุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ 15% และตระกูลบุลสุขที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เสริมสุข 7% ส่วนนายสมชายถือหุ้น 1.61%
สำหรับบริษัท เสริมสุข อยู่ในตลาดไทยมาเป็นปีที่ 56 ในปีนี้ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ในตลาดไทยเพียงรายเดียว มีสินทรัพย์รวมทั้งบริษัทมากกว่า 5,000 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดมากกว่า 1,400 ล้านบาท
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูง จากบริษัท เสริมสุข กล่าวว่า การจัดตั้งบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส ในครั้งนี้เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทเสริมสุข นายสมชาย บุลสุข ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน และขอให้ตลาดหลักทรัพย์ ขึ้นเครื่องหมาย เอสพี เพื่อห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของเสริมสุข (เอสเอสซี) ในวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะพบว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอหลักทรัพย์ทั้งหมดแบบครอบงำกิจการ ส่วนในวันที่ 21 เม.ย.หุ้นเอสเอสพี ได้กลับมาซื้อขายตามปกติแล้ว หลังจากที่ทราบว่ามีบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส ต้องการซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท


