โอกาสธุรกิจไมซ์ในไทยสดใส
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ ต่างชาติแห่จัดงานในเอเชีย เป็นโอกาสธุรกิจไมซ์ของประเทศไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ ต่างชาติแห่จัดงานในเอเชีย เป็นโอกาสธุรกิจไมซ์ของประเทศไทย
การมีเครือข่ายพันธมิตร เครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน บริษัทในเครือ หรือสาขาในภูมิภาคต่างๆขององค์กร เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมมีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ และได้นำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions: MICE) ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่มีบทบาทสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมขององค์กร ครอบคลุมถึงการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดสัมมนา และการจัดงานแสดงสินค้า
ธุรกิจไมซ์เอเชียเติบโต จากแรงสนับสนุนของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ
ในอดีตนั้น การจัดกิจกรรมขององค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดสัมมนา และการจัดงานแสดงสินค้า นิยมจัดในแถบภูมิภาคยุโรป เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติ และองค์กรระหว่างประเทศ แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลจากรายงาน Statistic Report 2002-2011 โดย International Congress and Convention Association (ICCA) ที่ได้สะท้อนให้เห็นว่า สัดส่วนจำนวนการจัดประชุมในปี 2546 ที่กระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคยุโรปประมาณร้อยละ 57 ของการจัดประชุมทั่วโลก มีแนวโน้มค่อยๆลดลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 54 ในปี 2554 ในขณะที่สัดส่วนจำนวนการจัดประชุมในภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลางในปี 2546 ที่คิดเป็นร้อยละ 14 ของการจัดงานประชุมทั่วโลก มีแนวโน้มค่อยๆเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 17 ในปี 2554
เมื่อพิจารณาพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าของภูมิภาคเอเชีย ในปี 2554 พบว่า มีพื้นที่รวม 6.23 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากในปี 2553 ที่มีพื้นที่รวม 6.06 ล้านตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3 ต่อปี โดยในปี 2554 มีพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าที่ขายได้รวม 15.9 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นจาก ในปี 2550 ที่ขายได้ 13.2 ล้านตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี การเพิ่มขึ้นของพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าที่ขายได้ดังกล่าว ส่งผลให้รายได้จากการจัดงานแสดงสินค้าในภูมิภาคเอเชีย ในปี 2554 มีมูลค่ารายได้รวม 4,060 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากในปี 2553 ที่มีมูลค่ารายได้รวม 3,518 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 ต่อปี
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในการเลือกจัดกิจกรรมขององค์กรต่างๆ ที่ได้มุ่งมาในแถบภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งเสริมจากภาครัฐของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย ประกอบกับความต้องการบริการธุรกิจไมซ์ในตลาดโลกที่สูงขึ้นสอดคล้องตามการแข่งขันทางธุรกิจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจไมซ์ในภูมิภาคเอเชียเติบโตขึ้น ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- การส่งเสริมโดยภาครัฐของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย: ภาครัฐของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง ล้วนแต่มุ่งพัฒนาบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อผลักดันให้ประเทศตนเองเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ ที่นอกจากจะก่อให้เกิดการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศแล้ว ยังเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างความเชื่อมั่นในสายตาประชาคมโลกได้ทางหนึ่ง
- ภูมิภาคเอเชียเป็นแหล่งจัดงานแสดงสินค้าและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล:
จากการที่ภูมิภาคเอเชียเป็นตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อ(Emerging Market) จึงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในประเทศต่างๆที่จะขยายฐานลูกค้า นำมาซึ่งการจัดงานแสดงสินค้าในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ทั้งในรูปแบบผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ และผู้ประกอบการกับผู้บริโภค ประกอบกับค่าแรงในภูมิภาคเอเชียยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก อีกทั้งภูมิภาคเอเชียยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ จึงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในประเทศต่างๆในการเข้ามาสร้างฐานการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจ ส่งผลให้มีการจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบการจับคู่พันธมิตรทางธุรกิจ (Business Matching) มากขึ้น
การท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียมีความหลากหลาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นใหม่ และแหล่งช้อปปิ้ง โดยมีระดับค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่ไม่สูงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ภูมิภาคเอเชียจึงเป็นตัวเลือกของผู้ประกอบการในประเทศต่างๆที่นิยมจัดการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลสำหรับพนักงานและลูกค้า
- องค์กรระหว่างประเทศนิยมใช้ภูมิภาคเอเชียเป็นเวทีการจัดประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติ: ในระยะที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้องค์กรระหว่างประเทศได้ดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาในด้านต่างๆของภูมิภาคเอเชีย ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการใช้ภูมิภาคเอเชียเป็นสถานที่จัดประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติมากขึ้น
จุดแข็งของประเทศไทยผลักดันธุรกิจไมซ์ขยายตัว
สำหรับประเทศไทยแล้ว ธุรกิจไมซ์เป็นหนึ่งในธุรกิจบริการที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ได้ระบุว่า ในปี 2555 ตลาดของธุรกิจไมซ์ที่มาจากนักเดินทางชาวต่างชาติมีมูลค่าสูงถึง 79,770 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.50 ของรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศ
เมื่อพิจารณาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไมซ์ในประเทศไทย เปรียบเทียบกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง พบว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ในลำดับต้นๆของภูมิภาคในหลากหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น ด้านจำนวนการจัดประชุม ที่พบว่า ในปี 2554 ประเทศไทยมีการจัดประชุมรวม 101 งาน จากการจัดประชุมทั่วโลก 10,119 งาน (เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีการจัดประชุม 93 งาน) คิดเป็นลำดับที่ 35 ของโลก และคิดเป็นลำดับที่ 9 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง โดยเป็นการจัดประชุมในจังหวัดกรุงเทพฯถึง 70 งาน ส่งผลให้เมื่อพิจารณาตามเขตที่มีการจัดประชุมแล้ว กรุงเทพฯเป็นจังหวัดที่มีการจัดประชุมอยู่ในลำดับที่ 8 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาด้านพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้า พบว่า ในปี 2554 ประเทศไทยมีพื้นที่แสดงสินค้าประมาณ 223,000 ตารางเมตร และมีศูนย์แสดงสินค้า 9 แห่ง คิดเป็นลำดับที่ 5 ของภูมิภาคเอเชีย
ภายใต้การขยายตัวของความต้องการบริการธุรกิจไมซ์ในตลาดโลก ประกอบกับการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ ASEAN Economic Community (AEC) ที่จะเป็นปัจจัยเสริมให้ความต้องการบริการธุรกิจไมซ์ในตลาดระดับภูมิภาคขยายตัว อันเนื่องมาจาก การเติบโตของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน นับได้ว่าเป็นโอกาสที่สำคัญในการเพิ่มมูลค่ารายได้ธุรกิจไมซ์ในประเทศไทย ทั้งนี้ หากพิจารณาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไมซ์ในประเทศไทย ที่มีความทัดเทียมกับประเทศพัฒนาแล้วหลายๆประเทศ และข้อได้เปรียบของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานที่ไม่สูงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม ทำเลที่ตั้งของประเทศไทยที่เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย และความโดดเด่นในด้านอัธยาศัยของผู้คนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ กล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหมาะสมต่อการจัดงานในกลุ่มไมซ์ ดังจะเห็นได้จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ที่ระบุว่า มูลค่ารายได้ธุรกิจไมซ์จากนักเดินทางชาวต่างชาติในประเทศไทย ได้เพิ่มขึ้นจาก 59,735 ล้านบาทในปี 2550 ไปสู่ 79,770 ล้านบาทในปี 2555 หรือเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี และในปี 2556 นี้ คาดว่าธุรกิจไมซ์จะสามารถสร้างรายได้จากนักเดินทางชาวต่างชาติให้แก่ประเทศไทยประมาณ 86,270 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2555 ร้อยละ 8
จากขีดความสามารถของประเทศไทยในการรองรับความต้องการบริการธุรกิจไมซ์ในตลาดโลกที่สูงขึ้นได้นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า มูลค่ารายได้ธุรกิจไมซ์จากนักเดินทางชาวต่างชาติในประเทศไทยจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไปสู่ระดับ 113,982 ล้านบาทในปี 2559 หรือเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี โดยการแสดงสินค้านานาชาติ และการประชุมนานาชาติ เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น
แม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยจะมีขีดความสามารถในการรองรับการจัดงานในกลุ่มไมซ์อย่างเพียงพอ แต่การเพิ่มขึ้นของจำนวนการจัดงานและจำนวนนักเดินทางชาวต่างชาติในอนาคต ประกอบกับผลจากการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะนำมาซึ่งโอกาสของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางหรือเป็นเจ้าภาพการจัดงานในกลุ่มไมซ์ของภูมิภาค อาจส่งผลให้ประเทศไทยเผชิญปัญหาความไม่เพียงพอของโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร นอกจากนี้ การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ยังก่อให้เกิดโอกาสสำหรับพื้นที่ต่างๆที่เป็นเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ภูเก็ต ในการเป็นสถานที่จัดงานในกลุ่มไมซ์ จากเดิมที่การจัดงานมักกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ
สถานการณ์ดังกล่าว นำมาซึ่งความจำเป็นในการเตรียมพร้อมทั้งในเชิงรุกและเชิงรับของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการ ที่ต้องมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับการให้บริการด้านต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานที่จัดประชุม พื้นที่การจัดแสดงสินค้า เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม บริการด้านโรงแรมและที่พัก รวมถึงการเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจไมซ์ และมัคคุเทศก์ ให้มีจำนวนที่เพียงพอและมีคุณภาพ ตลอดจนการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาต่างชาติสำหรับบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจไมซ์ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัดที่มีศักยภาพในการเป็นสถานที่จัดงานในกลุ่มไมซ์ ให้สามารถรองรับการจัดงานขนาดใหญ่หรืองานในระดับนานาชาติได้
การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม และความเสี่ยงต่างๆ เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
ภายใต้การแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของธุรกิจไมซ์ ได้นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการต้องติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในด้านต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางการแข่งขันของประเทศหรือการปรับตัวรับมือของภาคธุรกิจในอนาคต โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่สำคัญที่อาจเป็นได้ทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับธุรกิจไมซ์ในประเทศไทย ดังนี้
- การนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมมาใช้ในการจัดประชุมและสัมมนา: ในปัจจุบัน รูปแบบการจัดประชุมและสัมมนาในทุกระดับเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมเข้ามาผสมผสาน ยกตัวอย่างเช่น การประชุมทางไกล (Teleconference) ซึ่งเป็นการประชุมที่ผู้เข้าร่วมประชุมอยู่กันคนละสถานที่ แต่สามารถประชุมร่วมกันและมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้โดยใช้อุปกรณ์โทรคมนาคม ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงสอดคล้องกับกระแสอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม แนวโน้มการนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมมาใช้ในการจัดประชุมและสัมมนาดังกล่าว นำมาซึ่งความจำเป็นของประเทศไทยในการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคมให้มีความพร้อม เพื่อรองรับการจัดประชุมและสัมมนาที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปในอนาคต
- ความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้น: จากการที่ธุรกิจไมซ์มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ คำเตือนหรือข่าวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่อาจส่งผลให้ต้องยกเลิกการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดสัมมนา และการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทย นำมาซึ่งความท้าทายของประเทศไทยในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดงาน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและรับมือต่อความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้จัดงานต่างชาติและนักเดินทางชาวต่างชาติ นอกจากนี้ มูลค่ารายได้ของธุรกิจไมซ์ในประเทศไทยเป็นการพึ่งพิงนักเดินทางชาวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งอาจผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจโลก ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการต้องติดตามทิศทางสภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดทิศทางการแข่งขันของประเทศและการปรับตัวรับมือของภาคธุรกิจ โดยอาจส่งเสริมการสร้างมูลค่ารายได้จากนักเดินทางชาวไทยให้มีการเติบโตควบคู่กันไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้จากนักเดินทางชาวต่างชาติในสัดส่วนที่สูง


