"มิตซูฯ"ไฟเขียว"กรุงศรี"เหยียบคันเร่งสินเชื่อรายย่อย
แม้ว่ากระบวนการเข้าซื้อหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ของธนาคารแห่งโตเกียวมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (บีทีเอ็มยู) ธุรกิจในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป
โดย...ดำรงเกียรติ มาลา
แม้ว่ากระบวนการเข้าซื้อหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ของธนาคารแห่งโตเกียวมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (บีทีเอ็มยู) ธุรกิจในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบ จากผู้ถือหุ้นเชิงยุทธ์รายเดิมอย่างกลุ่มจีอี และแผนการทำข้อเสนอซื้อหุ้นแบบสมัครใจในส่วนของผู้ถือหุ้นรายอื่นอย่างเป็นทางการ ยังต้องรอไปถึงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ขณะที่ขั้นตอนการถ่ายโอนสินทรัพย์จนเสร็จสิ้นระหว่างธนาคารทั้งสองแห่งอาจต้องรอไปถึงช่วงต้นปีหน้า
แต่การที่กลุ่มจีอี และบีทีเอ็มยู ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายหุ้นระหว่างกันเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ขณะนี้กลุ่มจีอีได้ถอยอำนาจในการบริหารให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่จากญี่ปุ่นเข้ามากุมหางเสือควบคุมทิศทางธุรกิจในแบงก์กรุงศรีแทนที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นั่นหมายความว่า การขับเคลื่อนของแบงก์กรุงศรีนับจากนี้จะสามารถกลับมาเดินเครื่องได้เต็มสูบอีกครั้ง หลังจากช่วงที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าแบงก์กรุงศรีตกอยู่ในสภาวะที่แม้ไม่ใช่เกียร์ว่างแต่ก็ใส่เกียร์เหยียบคันเร่งเดินหน้าได้ไม่เต็มที่ ตามธรรมชาติของธุรกิจที่อยู่ในช่วงส่งไม้ต่อให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่
ภาวะดังกล่าวสะท้อนออกมาในรูปตัวเลขสินเชื่อที่ขยายตัวได้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม โดยในไตรมาสแรกสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยาขยายตัวจากสิ้นปีได้เพียง 0.9% ขณะที่ไตรมาส 2 คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นมาที่ 2.3% ทำให้ภาพรวมสินเชื่อครึ่งปีแรกขยายตัวได้ที่ระดับ 2.3% ลดลงจาก 5.3% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และถือว่ายังห่างไกลจากเป้าหมายสินเชื่อที่ 12% ในปีนี้อยู่พอสมควร
ฐากร ปิยะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์หน้าทีมงานจากบีทีเอ็มยูจะมีการเข้ามาพูดคุยกับผู้บริหารที่ดูแลเครือข่ายสาขา เงินฝาก และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ถึงอนาคตและทิศทางธุรกิจรายย่อยของธนาคารกรุงศรีอยุธยาหลังการควบรวม โดยจะมีการแลกเปลี่ยนมุมมองทั้งสองฝ่ายว่าผู้บริหารธนาคารมองทิศทางตลาดคอนซูมเมอร์แบงก์กิ้งในไทยอย่างไร แบงก์กรุงศรีมีวิธีบริหารความเสี่ยงอย่างไร และเขามีเทคโนโลยีอะไรที่เข้ามาช่วยได้บ้าง เป็นการจูนเข้าหากันและร่วมกันวางกลยุทธ์
“ช่วงที่ผ่านมาบีทีเอ็มยูได้มีการเข้ามาพูดคุยกันเรื่องธุรกิจรายย่อยบ้างแล้ว ซึ่งรวมๆ เขามองธุรกิจเราในภาพบวก และบอกว่าไม่ต้องหยุด แต่การคุยรอบนี้น่าจะชัดเจนว่านโยบายเขาจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะให้น้ำหนักสินเชื่อประเภทไหน มีหลักประกันหรือไม่มีหลักประกัน เหยียบคันเร่งต่อหรือแตะเบรก เพราะที่ญี่ปุ่นเขาก็ถือเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่มีฐานลูกค้ากว่า 22 ล้านใบเช่นกัน” ฐากร กล่าว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าญี่ปุ่นจะไฟเขียวให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเดินหน้ารุกธุรกิจรายย่อยต่อเต็มที่หรือให้ชะลอความเร็วลง ฐากร ยังเชื่อว่า ธุรกิจรายย่อยของธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะได้รับประโยชน์จากการถ่ายโอนสินทรัพย์ในครั้งนี้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะจากฐานลูกค้าญี่ปุ่นของบีทีเอ็มยูในไทยที่มีโรงงานอยู่ราว 200-300 แห่ง คิดเป็นจำนวนพนักงานรวมกันไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย ซึ่งทั้งหมดจะย้ายมาเดินบัญชีเงินเดือน (Payroll) กับธนาคาร
ฐากร ระบุว่า ฐานลูกค้า Payroll ที่จะเพิ่มขึ้นมากว่า 1 แสนบัญชี จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้วราว 3 แสนบัญชี ถือเป็นโอกาสให้ธนาคารขยายฐานผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นได้อีกนับไม่ถ้วน ทั้งฐานเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน (CASA) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ ฐานบัตรเดบิตและบัตรเครดิต สินเชื่อสวัสดิการประเภทต่างๆ และยังช่วยให้ธนาคารขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตนิคมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ การดึงฐานลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นขนาดใหญ่และขนาดกลาง ซึ่งเป็นลูกค้าเดิมของบีทีเอ็มยูเข้ามาอยู่กับธนาคาร ยังจะช่วยให้ธนาคารสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจซัพพลายเชนของธนาคารได้อีก โดยชูความได้เปรียบด้านความคล่องตัวในการเดินบัญชีผ่านธนาคารร่วมกับธุรกิจรายใหญ่ เช่น ในอุตสาหกรรมรถยนต์ หากผู้ผลิตรายใหญ่อยู่กับเรา ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในซัพพลายเชนจะโยกตามมาด้วย
ฐากร กล่าวอีกว่า หากมองให้ยาวไปกว่านี้ มีความเป็นไปได้มากที่ผู้ถือหุ้นจากญี่ปุ่นจะใช้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นฮับหรือฐานในการรุกธุรกิจรายย่อยออกไปสู่ภูมิภาคอินโดจีน เช่นเดียวกับที่กลุ่มทุนจากชาติเดียวกัน อย่าง อิออน เริ่มปักธงธุรกิจในภูมิภาคนี้ไปแล้ว ทั้ง ลาว เวียดนามและกัมพูชา เนื่องจากปัจจุบันกรุงศรี กรุ๊ป ได้ตอกเสาเข็มเพื่อขยายตัวออกนอกประเทศไว้แล้วเช่นกัน ผ่านการร่วมทุนกับบริษัท ยูนิตี้ แคปปิตอล เพื่อให้บริการสินเชื่อแก่กลุ่มผู้บริโภคในลาว ภายใต้ชื่อ “กรุงศรี ไฟแนนซ์เชียล เซอร์วิส”
“ธุรกิจในลาวตอนนี้ถือว่าโอเค เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทท้องถิ่นโดยกรุงศรีฯถือหุ้น 70 % และน่าจะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาสนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เราจะขยายตัวต่อไปที่กัมพูชาและพม่า ซึ่งถ้าดูจากผลการศึกษาตลาดคาดว่ากัมพูชาน่าจะเป็นเป้าหมายต่อไป เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นสถาบันการเงินจากจะเข้มข้นขึ้น”
การเข้ามากุมหางเสือเพื่อกำหนดทิศทางที่ชัดเจนของว่าที่ผู้ถือหุ้นรายใหม่ ที่เชี่ยวชาญสินเชื่อรายย่อยไม่แพ้ธนาคารจากฝั่งตะวันตก จะทำให้การแข่งขันสินเชื่อรายย่อยในไทยเข้มข้นขึ้นแค่ไหน น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง


