มิตซูบิชิ ซื้อแบงก์กรุงศรีฯ

ในที่สุดกลุ่มมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) จากญี่ปุ่นก็เข้ามาซื้อหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) สำเร็จ และยังต้องการถือหุ้นใหญ่เกิน 49% ของทุนชำระแล้ว

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง จะพิจารณาการขออนุญาตเข้าถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยาของกลุ่มมิตซูบิชิฯ ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งที่ผ่านมาแบงก์ ออฟ โตเกียวมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ลิมิเต็ด (บีทีเอ็มยู) ในกลุ่ม MUFG ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ระบุว่า จะเข้าซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของไทย จำนวน 75% ในวงเงิน 5,610 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.74 แสนล้านบาท

ขณะที่กลุ่ม “รัตนรักษ์” ยันไม่ทิ้งหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ ที่ถืออยู่ 25% และพร้อมรับการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหญ่จากจีอี แคปปิตอล เป็นบีทีเอ็มยู โดยหวังว่าพัฒนาการครั้งนี้จะช่วยย้ำความแข็งแกร่งของธนาคารกรุงศรีฯ ในประเทศไทย และเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจไปสู่ประเทศในภูมิภาคให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้งในรอบ 7 ปี หลังจากที่ จีอี แคปปิตอล ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญใหม่ในธนาคารกรุงศรีฯ จำนวน 2,000 ล้านหุ้น สัดส่วนลงทุน 25% เมื่อปี 2549 ก่อนจะรับโอนทรัพย์สินของธนาคารจีอี มันนี่ เพื่อรายย่อยเข้ามารวมกันและเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 33% ในปีเดียวกัน

กสิกรปรับตัวรับมือ AEC

ขณะที่ นายบัณฑูร ล่ำซำ หรือ “เสี่ยปั้น” ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การที่ธนาคารแห่งโตเกียวมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BTMU สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เข้าถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น เป็นการแสดงศักยภาพความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินของภูมิภาคเอเชีย ในขณะนี้สหรัฐและยุโรปต่างก็มีปัญหาเศรษฐกิจ

สำหรับธนาคารกสิกรไทยได้วางโจทย์ระยะยาวรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง ด้วยการร่วมมือกับธนาคารท้องถิ่นในญี่ปุ่น 24 แห่ง ที่สนับสนุนสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ญี่ปุ่นที่มาลงทุนในประเทศไทย และมาใช้บริการทางการเงินกับธนาคารกสิกรไทย นอกจากนี้ยังไปร่วมกับธนาคารในประเทศจีน เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเอสเอ็มอีในประเทศจีนอีกด้วย

หนี้ครัวเรือนไตรมาสแรกพุ่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาสแรกปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8.97 ล้านล้านบาท หรือ 77.4% ต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาจเป็นแรงกดดันให้ในช่วงภาคครัวเรือนไทยจะเริ่มมีการตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนและผลจากเศรษฐกิจชะลอ ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง อาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้ให้ลดลงราว 0.2%

ธปท.สั่งแบงก์ให้ข้อมูลดอกเบี้ย

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศถึงสถาบันการเงินทั้งระบบ สั่งชี้แจงอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่แท้จริงแก่ลูกค้าทั้งหมดตลอดอายุสัญญา เพื่อให้ลูกค้ารับทราบภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพราะที่ผ่านมาธนาคารต่างแข่งขันออกโปรโมชั่นสินเชื่อบ้าน 0% หรือขั้นต่ำในช่วงแรกเพื่อจูงใจลูกค้า แต่แอบบวกค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น ค่าสำรวจประเมินหลักประกัน ค่าจดจำนอง ค่าเบี้ยประกันที่อยู่อาศัย ค่าเบี้ยประกันชีวิต ทำให้ลูกค้าอาจไม่ทราบภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องชำระที่แท้จริง โดยการออกประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค. 2556 เป็นต้นไป