ผลกระทบต่อธุรกิจของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พ.ศ. 2535 โมฆะหรือไม่ผูกพัน
....กิติพงษ์ อุรพีพัฒนพงศ์
กรณีศึกษาสัญญาทางแพ่งกับ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯในอดีตได้เคยมีตัวอย่างคดีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ต่อศาลแพ่ง (คดีดำที่ 2441/2550) เรื่องเรียกทรัพย์คืนจำนวนทุนทรัพย์ 6.8 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี กรณีที่ ทอท. แจ้งขอยกเลิกสัญญาการเช่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าปลอดภาษีตามสนามบินต่างๆ ของคิง เพาเวอร์ โดยอ้างว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ซึ่ง ทอท. ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้วินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งหรือศาลปกครอง และต่อมาศาลแพ่งได้มีคำวินิจฉัยว่า จากการหารือร่วมกับศาลปกครอง เห็นว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่ง จึงให้คดีดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของศาลแพ่ง แต่คดีนี้ได้มีการถอนฟ้องและประนีประนอมก่อนศาลแพ่งจะตัดสิน เลยไม่ทราบแนวว่าศาลยุติธรรมจะใช้หลักใดในการตีความ
จากแนวคำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าว จึงอาจถือได้ว่า สัญญาแม้จะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ก็เป็นสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง และหากมีข้อพิพาทก็ต้องนำขึ้นสู่ศาลแพ่ง (ศาลยุติธรรม)
เมื่อพิจารณาแนวศาลยุติธรรมแล้ว ผมมีความเห็นว่า เมื่อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งแล้ว ก็ต้องนำสู่ข้อพิพาทศาลยุติธรรม ศาลอาจตีความผลของสัญญาได้ 3 แนวทาง คือ
(1) เมื่อเป็นสัญญาทางแพ่งมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ (โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างรู้) จึงอาจเป็นกรณีการทำสัญญาโดยมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ย่อมทำให้สัญญามีผลเป็นโมฆะ คือ ไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น และการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ก็ต้องนำเรื่องลาภมิควรได้มาใช้บังคับ โดยพิจารณาตามแนวคำพิพากษาฎีกา 2503/2552 (คดีจาโก้)
(2) จะถือว่าไม่เป็นโมฆะกรรมในทางแพ่ง เพราะกฎหมายดังกล่าวไม่น่าจะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะจากกฎหมายดังกล่าวไม่มี โดยทางอาญาเป็นเรื่องแค่ระเบียบปฏิบัติที่คู่สัญญาหรือระเบียบพัสดุอย่างหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายอาจไม่ล่วงรู้การตีความได้ (คือไม่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันทำผิดกฎหมาย) ต่างกับกรณีของสัญญาทางปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ซึ่งมีผลคือสัญญาไม่มีผลผูกพัน ตามแนววินิจฉัยของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ได้กล่าวข้างต้น แต่อาจเยียวยาแก้ไขให้ถูกต้อง หรือผู้กระทำผิดข้อตกลงอาจต้องรับผิดฐานละเมิดได้ เรื่องนี้จึงจำเป็นที่จะต้องรอบรรทัดฐานทางศาลสูงต่อไปว่า จะวินิจฉัยผลคดีดังกล่าวอย่างไร แต่ความเห็นนี้อาจแย้งกับแนวคำพิพากษาฎีกา 2503/2552 ข้างต้น
(3) ถือว่าไม่มีผลผูกพัน (เฉพาะข้อที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไข) แต่สัญญาไม่ได้เป็นโมฆะ โดยให้ใช้ข้อสัญญาเดิมหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามหลักเกณฑ์สัญญาทางปกครอง โดยหาทางเยียวยาให้แก่สัญญาผู้สุจริตด้วย แนวทางสำนักงานกฤษฎีกาและศาลปกครองอันเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยถือว่าคำพิพากษาฎีกา 2503/2552 ใช้เฉพาะเรื่องคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ไม่นำมาใช้กรณีโมฆะกรรมตามกฎหมายแพ่ง
ความเห็น
ผมมีความเห็นว่า ศาลยุติธรรมควรใช้แนวทางที่ 3 คู่สัญญาน่าจะดำเนินการเยียวยาความเสียหายในการฟ้องละเมิดทางปกครอง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องเสีย โดยคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและสาธารณะเป็นเกณฑ์และหลักสุจริต หรืออาจใช้แนวทางที่ 2 ที่เป็นโมฆะกรรมเฉพาะบางข้อ ไม่ใช่เป็นโมฆะกรรมทั้งหมด


